แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 17
1
บริหารจัดการอาคาร: แอร์อินเวอร์เตอร์แตกต่างจากแอร์ทั่วไปอย่างไร

การใช้งานเครื่องปรับอากาศ เชื่อว่าหลายคนคงใช้เป็นกันอยู่แล้ว เพราะแอร์ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หลายบ้านต้องมีอย่างแน่นอน เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน ซึ่งเครื่องปรับอากาศก็มีความจำเป็นที่จะช่วยในการคลายร้อนได้ แต่การใช้งานเครื่องปรับอากาศนั้น ถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปลืองไฟมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ยิ่งบ้านไหนใช้งานทุกวัน ก็ต้องยอมเสียเงินจ่ายค่าไฟหลักพันเลยทีเดียว แต่การใช้งานเครื่องปรับอากาศนั้น

ถ้าเราใช้งานอย่างถูกต้อง ก็สามารถประหยัดค่าไฟไปได้เยอะ แถมยังช่วยรักษาอายุการใช้งานให้อยู่คู่กับบ้านได้นานอีกด้วย ในปัจจุบัน เครื่องปรับอากาศ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป และมีฟังก์ชันที่เยอะมากขึ้น แถมยังมีเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ๆที่มีความทันสมัยขายมากขึ้นและกำลังเป็นที่นิยมด้วย ซึ่งแอร์รุ่นใหม่ที่มีระบบอินเวอร์เตอร์ ซึ่งการทำงานของเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์จะแตกต่างจากเครื่องปรับอากาศทั่วไป

ตรงที่อินเวอร์เตอร์เมื่อเริ่มเปิดเครื่อง อุณหภูมิจะค่อยๆ ลดลงถึงระดับที่ตั้งไว้ หลังจากนั้นคอมเพรสเซอร์จะปรับรอบการทำงานลงเพื่อคงอุณหภูมิภายในห้องให้คงที่ตลอดเวลา ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาพูดถึงประเด็นที่ว่า แอร์อินเวอร์เตอร์แตกต่างจากแอร์ทั่วไปอย่างไร เพื่อที่เราจะได้ทราบรายละเอียดและจะได้เลือกอย่างเหมาะสมต่อการใช้งาน และเพื่อการถนอมเครื่องปรับอากาศให้สามารถใช้ไปได้ยาวๆ

 หากมองเผิน ๆ ก็จะพบว่าแอร์ทั้ง 2 ประเภทก็สามารถใช้งานได้เหมือนกัน แต่จะมีกระบวนการการทำงานที่แตกต่างกันในหลายด้าน ซึ่งแอร์ธรรมดาจะเป็นระบบที่ใช้การควบคุมอุณหภูมิห้อง ด้วยวิธีการ เปิด-ปิด การทำงานของระบบคอมเพรสเซอร์แอร์ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ทำความเย็นปรับอากาศให้เรานั่นเอง โดยระบบภายในคอมเพรสเซอร์แอร์ ชนิดนี้ จะไม่สามารถควบคุมการปรับระดับกำลังไฟได้ แต่สำหรับแอร์อินเวอร์เตอร์ เมื่อเราเปิดใช้งานระบบจะเร่งความเร็วมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ให้ทำความเย็นอย่างรวดเร็ว และเมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด

 มอเตอร์คอมเพรสเซอร์จะทำงานเบาลง แต่ไม่หยุดการทำงาน โดยจะลดรอบการทำงานลงจนอยู่ในสถานะเกือบจะหยุดทำงาน แต่เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่ตั้งไว้ 1-2 องศาเซลเซียส คอมเพรสเซอร์จะเร่งการทำงานมากขึ้น เพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ตามค่าที่กำหนด จึงทำให้อุณหภูมิโดยรวมของห้องมีความใกล้เคียงกับอุณหภูมิที่กำหนดไว้มากกว่าแอร์ธรรมดาที่ไม่ใช่ระบบอินเวอร์เตอร์นั่นเอง

โดยแอร์อินเวอร์เตอร์ เหมาะสำหรับติดตั้งในห้องที่ใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมง ห้องที่ต้องการความเงียบ และต้องการรักษาอุณหภูมิของห้องอย่างสม่ำเสมอ เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน ออฟฟิศ ห้องอ่านหนังสือ เป็นต้น และไม่เหมาะกับสถานที่หรือห้องที่มีอุณหภูมิแกว่งตลอดเวลา เช่น ห้องที่มีการเปิด-ปิดประตูบ่อย อย่าง ร้านกาแฟ หรือ ห้องนั่งเล่น ในขณะเดียวกัน แอร์อินเวอร์เตอร์ จะเป็นระบบที่ไม่เกิดการกระชากไฟ ทำให้ไม่เปลืองไฟ เพราะการกระชากไฟหนึ่งครั้ง ทำให้เกิดการกินไฟพอสมควร ทำให้เป็นจุดเด่นของแอร์อินเวอร์เตอร์ คือ ช่วยประหยัดค่าไฟได้ดี แต่แอร์แบบธรรมดา จะมีข้อดีคือราคาถูกกว่า

เนื่องจากมีการปล่อยลมเย็นในทุกรอบการต่อการทำงาน ทำให้รู้สึกว่าแอร์ธรรมดาจะเย็นฉ่ำกว่า ส่วนข้อเสียของแอร์ธรรมดา ก็คือจะเปลืองไฟมากกว่า มีเสียงตัด-ต่อการทำงาน และทำให้อุณหภูมิห้องแกว่งมากกว่า เหมาะกับห้องที่ไม่ค่อยได้ใช้งานแอร์บ่อยมากนัก หรือสถานที่ที่ต้องการความเย็นโดยไม่เน้นความเที่ยงตรงของอุณหูมิ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก หรือห้องที่มีการเปิดเข้า-ออกบ่อยๆ ซึ่งหากเราจะเลือกก็ต้องลองพิจารณาถึงการใช้งานและเลือกให้เหมาะสมก็จะช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเลยทีเดียว และช่วยทำให้เรายืดอายุการใช้งานของแอร์ได้อีกด้วย หากเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานที่

ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสมกับคุณ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: พิษเห็ด (Mushroom poisoning)

เห็ดพิษ มีหลากหลายชนิด และในเห็ดพิษชนิดเดียวกันก็อาจมีพิษอยู่หลายชนิดต่าง ๆ กันไป ภาวะพิษจากเห็ด (พิษเห็ด) จึงมีอาการได้หลายลักษณะ ส่วนใหญ่จะเกิดอาการแบบอาหารเป็นพิษทั่วไป คือ ปวดท้อง อาเจียน และท้องเดิน แต่เห็ดพิษบางชนิดมีพิษต่ออวัยวะสำคัญ อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ เช่น

    พิษต่อตับ ที่สำคัญได้แก่ เห็ดตระกูลอะมานิตา (Amanita) มีสารพิษร้ายแรงต่อตับชื่อ อะมาท็อกซิน (amatoxins) ทำให้ตับวาย ไตวาย ในบ้านเราได้แก่ เห็ดระโงกหิน* (มีชื่ออื่น เช่น เห็ดไข่ห่านตีนตัน เห็ดระโงก เห็ดระงาก เห็ดสะงาก เห็ดไข่ตายซาก เป็นต้น) มีลักษณะเป็นเห็ดขนาดใหญ่ รูปทรงสะดุดตา ขึ้นอยู่ทั่วไปตามเรือกสวนไร่นาและป่าเขา เป็นสาเหตุการป่วยและการตายที่สำคัญของชาวบ้าน โดยเฉพาะทางภาคเหนือและอีสานที่นิยมกินเห็ดป่า ซึ่งมักจะปรากฏเป็นข่าวทุกปี
    พิษต่อประสาทส่วนกลาง เช่น เห็ดตระกูลไจโรมิทรา (Gyromitra) มีพิษไจโรมิทริน (gyromitrin) หรือเรียกว่า โมโนเมทิลไฮดราซีน (monomethylhydrazine) นอกจากมีผลต่อสมองแล้ว ยังทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และภาวะเมตเฮโมโกลบินในเลือด (methemoglobinemia) ตับวาย ไตวายได้

นอกจากนี้ยังมีเห็ดตระกูลซิโลไซบ์ (Psilocybe) ซึ่งมีพิษซิโลไซบิน (psilocybin) และซิโลซิน (psilocin) ซึ่งมีโครงสร้างทางเคมีคล้ายซีโรโทนิน มีฤทธิ์คล้ายสารเสพติดแอลเอสดี (LSD) ทำให้เคลิบเคลิ้ม ประสาทหลอน และทำลายระบบประสาทอย่างรุนแรง ในบ้านเรา ได้แก่ เห็ดขี้ควาย** (ตำราแพทย์โบราณเรียก เห็ดโอสถรวมจิต) ซึ่งขึ้นอยู่ตามกองมูลวัวมูลควายแห้ง พบได้ทั่วไปในทุกภาค

    พิษต่อประสาทอัตโนมัติ เช่น เห็ดตระกูลอิโนไซบ์ (Inocybe) และคลิโทไซบ์ (Clitocybe) มีพิษมัสคารีน (muscarine) ออกฤทธิ์โคลิเนอร์จิก (กระตุ้นประสาทพาราซิมพาเทติก) อาการคล้ายพิษยาฆ่าแมลงประเภทออร์แกโนฟอสเฟต แต่รุนแรงน้อยกว่า พิษชนิดนี้ถูกทำลายด้วยความร้อน

นอกจากนี้ยังมีเห็ดพันธุ์ Amanita muscaria ซึ่งมีพิษมัสซิมอล (muscimol) และกรดไอโบเทนิก (ibotenic acid) ออกฤทธิ์แอนติโคลิเนอร์จิกคล้ายอะโทรพีน และมีฤทธิ์ทำให้มีอาการประสาทหลอนร่วมด้วย

    พิษต่อไต เช่น เห็ดตระกูลคอร์ตินาเรียส (Cortinarius) มีพิษออเรลลานีน (orellanine) และออเรลลีน (orelline) ทำให้เกิดภาวะไตวายภายหลังกินเห็ด 1-3 สัปดาห์ พิษชนิดนี้ถูกทำลายด้วยความร้อน
    พิษร่วมกับแอลกอฮอล์คล้ายไดซัลฟิเเรม (disulfiram)*** เช่น เห็ดตระกูลโคพรินัส (Coprinus) มีพิษโคพรีน (coprine) ซึ่งมีความทนต่อความร้อน จะเกิดพิษเฉพาะเมื่อกินเห็ดร่วมกับแอลกอฮอล์

พิษเห็ดบางชนิดมีความทนต่อความร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็ดระโงกหินที่มีพิษร้ายแรง ถึงแม้ปรุงให้สุกพิษก็ไม่ถูกทำลาย บางชนิดทำให้สุกอาจลดพิษลงหรือทำลายพิษได้ เช่น พิษมัสคารีน พิษไจโรมิทริน

อาการของพิษเห็ดขึ้นกับชนิดและปริมาณพิษที่ได้รับ

*ประกอบด้วยเห็ด 2 ชนิด ได้แก่ Amanita verna และ Amanita virosa

**มีชื่อวิทยาศาสตร์ - Psilocybe cubensis Sing. และชื่อสามัญ - Magic mushroom

***ไดซัลฟิแรมกินร่วมกับแอลกอฮอล์ ทำให้เกิดอาการหน้าแดง ตัวแดง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก เหงื่อแตก ใช้เป็นยาบำบัดผู้ที่ติดแอลกอฮอล์ โดยกระตุ้นให้เกิดความเข็ดขยาดจนเลิกดื่ม ถ้าใช้ขนาดมากเกินอาจเกิดพิษได้

อาการ

1. พิษชนิดอ่อน (ที่ไม่มีพิษต่ออวัยวะสำคัญ) ทำให้เกิดอาการแบบอาหารเป็นพิษทั่วไป คือ ปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน มักเกิดหลังกินเห็ด 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง (อาจเกิดระหว่าง 5 นาที ถึง 36 ชั่วโมงหลังกินเห็ดก็ได้) ถ้ารุนแรงทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ มักจะหายได้เองภายใน 24 ชั่วโมง

2. พิษต่อตับ (เห็ดระโงกหิน) มักเกิดอาการหลังกินเห็ด 6-24 ชั่วโมง (เฉลี่ย 12 ชั่วโมง) ระยะแรกจะมีอาการปวดบิดเกร็งในท้อง อาเจียน และถ่ายท้องรุนแรง บางรายอาจมีมูกเลือดปน อาจเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงถึงตายได้ แต่ถ้าได้รับสารน้ำและเกลือแร่ทดแทนได้พอเพียง อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น จนดูเหมือนปกติ (ระยะนี้ถ้าตรวจเลือดอาจพบเอนไซม์ตับ คือ AST และ ALT สูงขึ้นเรื่อย ๆ) จนกระทั่ง 2-4 วันหลังกินเห็ดจะเกิดภาวะตับวาย เนื่องจากเซลล์ตับถูกทำลายรุนแรง และมักมีภาวะไตวายและหัวใจวายร่วมด้วย มีอัตราตายสูง (มากกว่าร้อยละ 20)

3. พิษต่อประสาทส่วนกลาง

เห็ดตระกูลไจโรมิทรา (พิษไจโรมิทริน) จะเกิดพิษมากเมื่อกินแบบไม่ปรุงสุก มักเกิดอาการหลังกินเห็ด 6-24 ชั่วโมง จะเริ่มด้วยอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน เป็นตะคริว ซึ่งมักจะไม่รุนแรง ต่อมาจะมีอาการเพ้อ ชัก หมดสติ อาจเกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ภาวะเมตเฮโมโกลบินในเลือด (methemoglobinemia) ตับวาย ไตวายได้ มีอัตราตายสูงพอประมาณ (น้อยกว่าร้อยละ 10)

พิษซิโลไซบินเเละซิโลซิน (เห็ดขี้ควาย) หลังกินเห็ด 30-60 นาที ผู้ป่วยจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ประสาทหลอน (โดยเฉพาะเห็นภาพหลอน) เดินโซเซ รูม่านตาขยาย ใจเต้นเร็ว หายใจถี่ ความดันโลหิตสูง มีการเคลื่อนไหวมากผิดปกติ บางรายอาจมีอาการชัก ผู้ป่วยอาจรู้สึกตื่นตระหนก กลัวตาย โดยทั่วไปภาวะพิษชนิดนี้มักจะไม่รุนแรงถึงตาย

4. พิษต่อระบบประสาทอัตโนมัติ

พิษมัสคารีน จะเกิดพิษมากเมื่อกินแบบไม่ปรุงให้สุก มักเกิดอาการหลังกินเห็ด 30-60 นาที จะมีอาการอาเจียน ท้องเดิน ปัสสาวะราด น้ำตาไหล น้ำลายฟูมปาก เสมหะมาก หลอดลมหดเกร็ง (อาจมีเสียงหายใจดังวี้ด) ชีพจรเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ รูม่านตาหดเล็ก มักจะไม่รุนแรงถึงตาย

พิษมัสซิมอลและกรดไอโบเทนิก หลังกินเห็ดประมาณ 30 นาที ผู้ป่วยมีอาการเมา เดินโซเซ เคลิ้มฝัน ร่าเริง กระปรี้กระเปร่า ประสาทหลอน เอะอะโวยวาย หลังจากนั้นจะหลับนาน เมื่อตื่นขึ้นมาอาการจะหายเป็นปกติภายใน 1-2 วัน แต่ถ้ากินเห็ดชนิดนี้มาก ๆ จะเกิดอาการคล้ายพิษอะโทรพีน ได้แก่ หน้าแดง ตัวแดง ตื่นเต้น เพ้อ กล้ามเนื้อสั่นและกระตุก ชัก รูม่านตาขยาย ชีพจรเต้นช้า มักจะไม่รุนแรงถึงตาย

5. พิษต่อไต หลังกินเห็ด 24-48 ชั่วโมง จะมีอาการปวดท้อง อาเจียน ท้องเดิน ซึ่งมักไม่รุนแรง เมื่อมีอาการทุเลาหรือหายแล้ว หลังจากกินเห็ด 36 ชั่วโมง ถึง 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะไตวายตามมา โดยมีอาการปวดเอว กระหายน้ำมาก ปัสสาวะออกมากและบ่อย หรือปัสสาวะออกน้อย ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ง่วงนอน ภาวะไตวายมักเป็นเรื้อรังนานเป็นแรมเดือนแรมปี

6. พิษร่วมกับแอลกอฮอล์ เกิดอาการหลังกินเห็ดแกล้มเเอลกอฮอล์ 10-30 นาที หรือเมื่อดื่มแอลกอฮอล์หลังจากกินเห็ดแล้วถึง 1 สัปดาห์ก็ได้ ผู้ป่วยจะมีอาการหน้าแดง ตัวแดง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ใจสั่น เหงื่อแตก ชาตามตัว รูม่านตาขยาย ความดันโลหิตสูง บางรายอาจมีความดันโลหิตต่ำ

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะขาดน้ำรุนแรง ถึงขั้นช็อก และเสียชีวิต

ที่ร้ายแรง ได้แก่ ภาวะตับวาย (มีอาการซึม เพ้อ ชัก หมดสติ ดีซ่าน จ้ำเขียวตามตัว อาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ) ไตวาย (มีอาการอ่อนเพลีย ปัสสาวะออกมาก และบ่อยกว่าปกติ หรือปัสสาวะออกน้อย) ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจพบภาวะขาดน้ำ โดยเฉพาะในรายที่อาเจียน และถ่ายท้องมาก

ระยะต่อมาอาจพบอาการอื่น ๆ ขึ้นกับพิษที่ได้รับ เช่น ดีซ่าน (ตาเหลือง) อาการทางระบบประสาท (เคลิบเคลิ้ม ร่าเริง ซึม เพ้อ เดินโซเซ ชัก หมดสติ) ชีพจรเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำหรือสูง รูม่านตาขยายหรือหดเล็ก เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์มักจะวินิจฉัยภาวะพิษเห็ดจากลักษณะอาการ ประวัติการกินเห็ด และตรวจตัวอย่างเห็ดที่เป็นสาเหตุ

การซักถามช่วงเวลาที่กินเห็ดกับช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการอาจมีประโยชน์ในการแยกแยะสาเหตุ ถ้าเริ่มมีอาการหลังกินเห็ดน้อยกว่า 6 ชั่วโมง มักเกิดจากพิษชนิดอ่อนและชนิดร้ายแรงไม่มาก ได้แก่ ซิโลไซบินเเละซิโลซิน (เห็ดขี้ควาย) พิษต่อประสาทอัตโนมัติ (มัสคารีน มัสซิมอล และกรดไอโบเทนิก) แต่ถ้าเริ่มมีอาการหลังกินเห็ดมากกว่า 6 ชั่วโมง มักเกิดจากพิษร้ายเเรง ได้แก่ พิษต่อตับ (เห็ดระโงกหิน) พิษต่อไต พิษไจโรมิทริน

ถ้าเริ่มมีอาการหลังกินเห็ดร่วมกับดื่มแอลกอฮอล์ 2-72 ชั่วโมง ก็เกิดจากพิษโคพรีน

การรักษา ให้การรักษาขั้นพื้นฐาน (อ่านเพิ่มเติมที่ "การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ" ด้านล่าง) และรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าติดตามอาการ ตรวจเลือด ประเมินการทำงานของตับและไต และให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาปวด ปรับดุลสารน้ำและเกลือแร่ ใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ยากล่อมประสาท (ในรายที่กระสับกระส่าย เอะอะโวยวาย) ให้ยาแก้ชัก ให้กลูโคส (ในรายที่มีภาวะน้ำตาลต่ำ) เป็นต้น

เมื่อทราบว่าเป็นเห็ดพิษชนิดใด หรือผู้ป่วยมีอาการแสดงชัดเจนว่าเป็นจากพิษชนิดใด ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

    พิษต่อตับ (เห็ดระโงกหิน) ให้ผงถ่านกัมมันต์และยาต้านพิษ อาจทำการล้างไตโดยวิธีฟอกเลือด (hemodialysis) ทำการถ่ายพลาสมา (plasmapheresis), hemofiltration หรือ hemoperfusion กรณีที่มีภาวะตับวายรุนแรง อาจต้องทำการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ
    พิษไจโรมิทริน ให้ผงถ่านกัมมันต์ทุก 4 ชั่วโมง และยาระบาย ให้ยาต้านพิษ
    พิษซิโลไซบินเเละซิโลซิน (เห็ดขี้ควาย) ควรแยกผู้ป่วยอยู่ในที่สงบ ในรายที่มีอาการตื่นตระหนก ประสาทหลอน กลัวตาย ให้ยากล่อมประสาท เช่น ไดอะซีแพม
    พิษมัสคารีน ให้อะโทรพีนเข้าหลอดเลือดดำ สามารถให้ซ้ำจนกระทั่งเสมหะแห้ง อาการมักจะดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง
    พิษมัสซิมอลเเละกรดไอโบเทนิก ถ้ามีอาการชักให้ไดอะซีเเพมเข้าหลอดเลือดดำ
    พิษต่อไต ไม่มียาต้านพิษ ควรทำการตรวจเลือดดูการทำงานของไตเป็นระยะ ๆ ปรับดุลสารน้ำและเกลือแร่ ถ้าจำเป็นอาจต้องทำการล้างไตโดยวิธีฟอกเลือด (hemodialysis) หรือทำ hemoperfusion และอาจต้องผ่าตัดปลูกถ่ายไต
    พิษร่วมกับเเอลกอฮอล์ ถ้ามีความดันโลหิตต่ำ ต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ ถ้าไม่ได้ผลให้นอร์เอพิเนฟรีน ถ้าอาการรุนแรงมากอาจต้องทำการฟอกล้างของเสียทางเลือด


การรักษาขั้นพื้นฐาน (ที่สถานพยาบาล) สำหรับผู้ป่วยที่กินสัตว์หรือพืชพิษ

1. ถ้าผู้ป่วยกินสัตว์หรือพืชพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และยังไม่อาเจียน รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียนด้วยการให้ไอพีเเคกน้ำเชื่อมหรือใช้นิ้วล้วงคอ

2. ให้ผู้ป่วยกินผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1 แก้ว โดยให้ผู้ป่วยดื่มเอง ถ้าอาเจียนหรือดื่มเองไม่ได้ ให้ป้อนผ่านท่อสวนกระเพาะ (stomach tube) ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ควรใส่ท่อช่วยหายใจก่อนเพื่อป้องกันการสำลัก

ควรให้เร็วที่สุดเมื่อพบผู้ป่วย (วิธีนี้จะได้ผลมากที่สุดเมื่อให้กินภายใน 30 นาทีหลังกินสัตว์หรือพืชพิษ) ไม่ควรให้ก่อนหรือหลังให้ยาที่ทำให้อาเจียน

ในรายที่รับพิษร้ายเเรง เช่น ปลาปักเป้า แมงดาถ้วย เห็ดพิษร้ายแรง หรือสงสัยรับพิษปริมาณมาก ควรให้ซ้ำทุก 4 ชั่วโมง

3. ทำการล้างกระเพาะอาหารด้วยน้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำ

วิธีนี้จะได้ผลดี เมื่อผู้ป่วยกินสารพิษมาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และไม่มีอาการอาเจียน ถ้าทำหลังกินสารพิษมากกว่า 4 ชั่วโมง อาจไม่ได้ประโยชน์และไม่คุ้มกับผลข้างเคียง (ที่สำคัญคือ การสำลักเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ)

ควรกระทำโดยบุคลากรที่ชำนาญ และในที่ที่มีความพร้อม

ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก และห้ามทำในผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัว หมดสติ

อาจให้ผงถ่านกัมมันต์กินก่อนล้างกระเพาะ หรือผสมผงถ่านกัมมันต์ในน้ำล้างกระเพาะก็ได้

4. ให้ผู้ป่วยดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนต ขนาด 2-5% จำนวน 50 มล.

5. ให้กินยาระบาย ซอร์บิทอล (sorbitol) ขนาด 70% อาจกินเดี่ยว ๆ หรือผสมกับผงถ่านกัมมันต์แทนน้ำก็ได้ ถ้าไม่มีอาจให้ยาระบายอื่น ๆ เช่น ยาระบายแมกนีเซีย (Milk of Magnesia) แทน ให้ได้ไม่เกิน 2 ครั้ง

ห้ามทำ ในรายที่มีอาการถ่ายท้องมากอยู่แล้ว หรือมีภาวะขาดน้ำที่ยังไม่ได้รับการทดแทน

6. ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

7. ถ้าชักฉีดไดอะซีเเพม 5-10 มก.เข้าหลอดเลือดดำ

8. ถ้าหยุดหายใจหรือหายใจไม่ได้ ให้ทำการช่วยเหลือด้วยการเป่าปาก หรือใช้เครื่องช่วยหายใจ

9. ถ้าหมดสติ ให้การรักษาแบบหมดสติ


การดูแลตนเอง

หากสงสัยว่าผู้ป่วยเกิดอาการพิษเห็ด ควรทำการปฐมพยาบาลแล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที

การปฐมพยาบาล สำหรับผู้ป่วยที่กินสารพิษ สัตว์พิษ หรือพืชพิษ

1. รีบทำให้ผู้ป่วยอาเจียน เพื่อขับพิษออก

    ถ้ามียากระตุ้นอาเจียน ได้แก่ ไอพีแคกน้ำเชื่อม (syrup ipecac) ให้กินครั้งละ 15-30 มล. (เด็กโต 15 มล.) และดื่มน้ำตามไป 1 แก้ว ถ้ายังไม่อาเจียนใน 20 นาที กินซ้ำได้อีก 1 ครั้ง
    ถ้าไม่มียา ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำ 1 แก้ว แล้วใช้นิ้วล้วงเข้าไปเขี่ยที่ผนังลำคอกระตุ้นให้อาเจียน ถ้าไม่ได้ผลทำซ้ำอีกครั้ง

ควรเก็บเศษอาหารที่อาเจียน ไว้ส่งตรวจวิเคราะห์

วิธีนี้จะได้ผลดี ต้องรีบทำภายใน 1 ชั่วโมงหลังกินสารพิษ และไม่ต้องทำหากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเองอยู่แล้ว

ห้ามทำ ในผู้ป่วยที่ชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ หรือกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์ หรือสารพิษไม่ทราบชนิด

2. ถ้ามีผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ให้กินขนาด 1 กรัม/กก. โดยผสมน้ำ 1/2-1 แก้ว เพื่อลดการดูดซึมสารพิษเข้าร่างกาย (ไม่ต้องทำถ้าผู้ป่วยกินกรด ด่าง น้ำมันก๊าด ทินเนอร์)

ถ้าไม่มีผงถ่านกัมมันต์ ให้กินไข่ดิบ 5-10 ฟอง หรือดื่มนมหรือน้ำ 4-5 แก้ว

3. สำหรับผู้ป่วยที่กินพาราควอต ให้กินสารละลายดินเหนียว (Fuller’s earth) โดยผสมผงดินเหนียว 150 กรัม หรือ 2 1/2 กระป๋อง ในน้ำ 1 ลิตร ถ้าไม่มีให้ดื่มน้ำโคลนดินเหนียวจากท้องร่องในสวน (ที่ไม่มีตะปูหรือเศษแก้ว หรือสารพิษตกค้าง) ซึ่งจะลดพิษของยานี้ได้

4. สำหรับผู้ที่กินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย ปลาทะเลพิษ หอยทะเลพิษ เห็ดพิษ ให้ดื่มโซเดียมไบคาร์บอเนตขนาด 2-5% จำนวน 50 มล. (อาจเตรียมโดยผสมผงฟู 1-2.5 กรัม ในน้ำ 50 มล.) ซึ่งจะช่วยลดพิษของอาหารพิษได้

ห้ามทำ ข้อ 2-4 ถ้าผู้ป่วยชัก ไม่ค่อยรู้ตัวหรือหมดสติ

5. ถ้าผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำ ให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ หรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

6. ถ้าผู้ป่วยชักหรือหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยชัก (อ่านใน "โรคลมชัก" เพิ่มเติม) หรือหมดสติ (อ่านใน "อาการหมดสติ" เพิ่มเติม)

7. รีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ควรนำสารพิษที่ผู้ป่วยกินหรืออาเจียนออกมาไปให้แพทย์ตรวจวิเคราะห์ด้วย


การป้องกัน

1. ห้ามกินเห็ดระโงกหินที่มีพิษต่อตับโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะทำให้สุกหรือไม่ก็ตาม

2. หลีกเลี่ยงการกินเห็ดธรรมชาติหรือเห็ดป่าที่ไม่รู้จัก หรือไม่เคยมีผู้อื่นบริโภคมาก่อน หรือเห็ดที่เก็บมาจากบริเวณที่เคยมีเห็ดพิษขึ้นมาก่อน หากไม่แน่ใจ ไม่มีข้อมูลเพียงพอ ก็ไม่ควรบริโภคเป็นอันขาด

3. ในการเก็บเห็ด ควรมีผู้ที่มีประสบการณ์อยู่ร่วมตรวจสอบด้วยเสมอ ไม่ควรเก็บเห็ดในบริเวณที่มีสารพิษตกค้าง

4. ในการบริโภคเห็ดธรรมชาติหรือเห็ดป่า ควรปฏิบัติดังนี้

    ไม่ควรกินแบบสด ๆ หรือเห็ดที่ไม่ได้ทำให้สุก (เห็ดบางชนิดเมื่อถูกความร้อน พิษจะถูกทำลายลง)
    ไม่ควรนำเห็ดหลายชนิดมาปรุงรวมกัน ควรแยกออกเสียก่อน หากเกิดเป็นพิษจะได้ง่ายต่อการวินิจฉัย
    ไม่ควรนำเห็ดไปปรุงจนหมด ควรเก็บดอกอ่อนและดอกแก่ไว้อย่างละ 1 ดอกเป็นอย่างน้อย เพื่อนำส่งวิเคราะห์หากเกิดการเป็นพิษขึ้นมา

5. การพิสูจน์พิษเห็ดโดยวิธีพื้นบ้าน (เช่น ใช้ช้อนเงิน งาช้าง ข้าวสาร หัวหอม หรือใช้ร่องรอยการทำลายจากหนอน แมลง และสัตว์) รวมทั้งการสังเกตลักษณะรูปทรง สีสันของเห็ด มีความไม่แม่นยำ จึงไม่ควรนำเห็ดที่ผ่านการพิสูจน์โดยวิธีเหล่านี้มาบริโภค

ข้อแนะนำ

1. ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการเป็นพิษจากเห็ด ควรให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น และส่งไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลทุกราย เมื่อดูแลรักษาจนดูเป็นปกติแล้วก็อย่าพึ่งวางใจ เนื่องเพราะพิษต่อตับและไตอาจค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ กินเวลาเป็นวัน ๆ ถึงสัปดาห์ ๆ ก็ได้ ควรตรวจเลือดดูการทำงานของตับและไตเป็นระยะ ๆ (ยกเว้นในกรณีที่วินิจฉัยได้แน่ชัดว่าไม่ได้เกิดจากเห็ดที่มีพิษต่อตับหรือไตเท่านั้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่กินเห็ดระโงกหิน (พบมากทางภาคเหนือและอีสาน) ควรติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะตรวจเลือดแล้วไม่พบมีความผิดปกติของตับหลังเกิดอาการ 7 วันไปแล้ว

2. ควรให้ความรู้แก่คนทั่วไปถึงอันตรายของเห็ดพิษ วิธีป้องกัน อาการแสดงของเห็ดพิษ และการปฐมพยาบาล รวมทั้งเก็บเศษอาหารที่อาเจียนและชิ้นส่วนเห็ดส่งไปตรวจพิสูจน์ที่โรงพยาบาล

3. โดยทั่วไปผู้ที่มีอาการเกิดขึ้นภายใน 6 ชั่วโมงหลังกินเห็ดมักเป็นพิษที่ไม่ร้ายแรง ถ้าเกิดขึ้นหลัง 6 ชั่วโมงมักเป็นพิษชนิดร้ายแรง แต่อาจมีข้อยกเว้นถ้ามีการกินเห็ดพิษหลายชนิดพร้อมกัน การเกิดอาการเร็วก็อาจไม่ได้ประกันว่าจะไม่เป็นพิษร้ายแรง (ซึ่งมักเกิดตามมาช่วงหลัง)

4. ผู้ป่วยที่เกิดจากพิษต่อตับหรือไต บางครั้งอาจมาพบแพทย์ในช่วงหลัง คือมีอาการของตับวาย (เช่น มีอาการดีซ่าน จ้ำเขียวตามตัว หรือซึม เพ้อ ชัก) หรือไตวาย (อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ง่วงนอน เบื่ออาหาร ปัสสาวะออกมากหรือน้อยกว่าปกติ) ดังนั้น ถ้าพบอาการดังกล่าว ควรคิดถึงภาวะพิษจากเห็ดไว้เสมอ

3
คอหมูย่างตะไคร้ เมนูหมูเนื้อนุ่ม หอมกรุ่นกลิ่นตะไคร้ สร้างอาชีพได้ง่ายๆ ที่บ้าน

คอหมูย่างตะไคร้เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หอมกลิ่นตะไคร้ และเนื้อหมูที่นุ่มชุ่มฉ่ำ ทำให้เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับการสร้างอาชีพได้ง่ายๆ ที่บ้าน ต่อไปนี้เป็นสูตรและเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณทำคอหมูย่างตะไคร้ได้อย่างอร่อยและขายดี:

ส่วนผสม:

คอหมู 1 กิโลกรัม
ตะไคร้ซอยละเอียด 3 ต้น
กระเทียมสับ 5 กลีบ
รากผักชีสับ 2 ราก
พริกไทยขาวป่น 1 ช้อนชา
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ:

เตรียมหมู:
ล้างคอหมูให้สะอาด ซับให้แห้ง
หั่นคอหมูเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 เซนติเมตร

ทำเครื่องหมัก:
โขลกตะไคร้ กระเทียม และรากผักชีให้ละเอียด
ผสมเครื่องที่โขลกกับพริกไทยขาวป่น น้ำปลา ซอสหอยนางรม น้ำตาลปี๊บ และน้ำมันพืช

หมักหมู:
นำคอหมูลงคลุกเคล้ากับเครื่องหมักให้ทั่ว
หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือข้ามคืน

ย่างหมู:
นำคอหมูที่หมักไว้มาย่างบนเตาถ่าน หรือเตาอบ หรือกระทะย่าง
ย่างจนหมูสุกและมีสีเหลืองทอง
หั่นหมูเป็นชิ้นพอดีคำ จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม

เคล็ดลับความอร่อย:

เลือกคอหมู: เลือกคอหมูที่มีมันแทรกเล็กน้อย จะทำให้หมูย่างนุ่มชุ่มฉ่ำ
หมักหมู: หมักหมูให้นานขึ้น จะทำให้เครื่องปรุงซึมเข้าเนื้อหมูได้ดีขึ้น
ย่างหมู: ย่างหมูด้วยไฟอ่อนถึงปานกลาง จะทำให้หมูสุกทั่วถึงและไม่แห้งกระด้าง
น้ำจิ้ม: เสิร์ฟคอหมูย่างกับน้ำจิ้มแจ่ว หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น

เคล็ดลับทำขาย:

เตรียมวัตถุดิบ: เตรียมวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า เช่น หั่นหมู ซอยตะไคร้ และโขลกเครื่องหมัก
บรรจุภัณฑ์: เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สะอาดและสวยงาม
ราคา: กำหนดราคาขายที่เหมาะสมกับต้นทุนและกลุ่มลูกค้า
โปรโมท: โปรโมทผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Facebook, Line หรือ Instagram
บริการ: ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ และใส่ใจลูกค้า
รักษาความสะอาด: รักษาความสะอาดของวัตถุดิบ อุปกรณ์ และสถานที่ทำอาหาร

ช่องทางการขาย:

ตลาดนัด: ขายคอหมูย่างตะไคร้ในตลาดนัด
ร้านอาหาร: เปิดร้านขายคอหมูย่างตะไคร้โดยเฉพาะ หรือขายในร้านอาหารตามสั่ง
เดลิเวอรี่: ขายคอหมูย่างตะไคร้ผ่านแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่
งานออกร้าน: เข้าร่วมงานออกร้านอาหารต่างๆ

ด้วยสูตรและเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถสร้างอาชีพด้วยคอหมูย่างตะไคร้ได้อย่างแน่นอน

4
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


5
ดูแลตนเองอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติที่มีการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้ก่อเป็นเนื้อร้ายแพร่ไปยังอวัยวะของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่กระจายทางน้ำเหลือง หรือการแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เริ่มแสดงอาการ

ด้วยพฤติกรรมการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมในปัจจุบัน ที่แข่งขันเร่งรีบและการรับประทานอาหารไม่ถูกหลัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ย่อมต้องส่งผลต่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ประชากรทั่วโลกเจ็บป่วย ก่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง

โรคมะเร็ง เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติที่มีการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้ก่อเป็นเนื้อร้ายแพร่ไปยังอวัยวะของร่างกายในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่กระจายทางน้ำเหลือง หรือการแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เริ่มแสดงอาการ ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีอาการของมะเร็งปอด ผู้ป่วยอาจแสดงอาการไอหรือเริ่มมีอาการปอดอักเสบ, อาการของผู้ที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจมีการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ หรือผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมจะคลำพบก้อนแข็ง ๆ บริเวณเต้านม เป็นต้น

ถึงแม้โรคมะเร็งจะเกิดจากหลายสาเหตุทั้งที่สามารถป้องกันได้และไม่สามารถป้องกันได้ แต่เมื่อคุณยังไม่เจอกับภาวะโรคร้ายนี้ ทางที่ดีก็ควรดำเนินชีวิตให้ห่างไกลจากความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดเนื้อร้าย และสิ่งสำคัญหากคุณสงสัยว่ามีอาการผิดปกติที่เข้าข่ายจะเป็นอาการของโรคมะเร็งควรรีบพบแพทย์เพื่อจะได้ทำการรักษาได้ตั้งแต่ระยะแรกรซึ่งยังมีโอกาสที่จะหายจากโรคร้ายนี้ได้

10 วิธีลดความเสี่ยงมะเร็ง

เลิกบุหรี่
ในแต่ละปี มะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่าง ๆ ทั้งหมด ดังนั้นหากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญ ที่สุดที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่น ๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิก แบบต่างๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้ จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้อย่างถาวร

ทานอาหารที่มีประโยชน์
หลายคนคงยังจำได้ดีเวลา ถูกพ่อแม่บังคับให้กินผักและก็คง ไม่ได้คิดว่า พวกท่านจะทราบอะไรดี ๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้ กลับเป็นประโยชน์ล้นเหลือ ต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อคโคลี่  กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาวที่น้อยคนจะโปรดปรานนั้น กลับอุดม ไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วน ประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียวก็ได้ชื่อว่าอุดมไปด้วยสาร ต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับ ไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสาร ต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วย ร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจ กลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ

ออกกำลังกายให้มากขึ้น
การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็ง เต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกาย ในที่นี้ไม่จำเป็น ต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬาการเล่นโยคะ เดินหรือเต้นแอโรบิก ก็ถือเป็นการ ออกกำลังกายที่ช่วยต่อสู้กับ มะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็น โรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด

ตรวจและหาให้เจอแต่เนิ่นๆ
มีหลักฐานยืนยันมากมายจนไม่อาจปฏิเสธว่า ยิ่งตรวจพบมะเร็งเร็วขึ้นเท่าไร โอกาสที่จะ รักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และ การตรวจเจอแต่เนิ่นๆ ก็ยังช่วยให้ การรักษาฟื้นฟู ทำได้เร็วขึ้นโดย มีผลข้างเคียงน้อยลง ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะมะเร็งควร ตรวจร่างกายอย่าง สม่ำเสมอและขอคำแนะนำ จากแพทย์เรื่องการตรวจ คัดกรองมะเร็ง ที่เหมาะกับวัยของคุณ (เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไปควร ทำแมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม) แม้มะเร็งอาจไม่แสดงอาการใน ระยะเริ่มแรก แต่การตรวจคัดกรองที่ เหมาะสมช่วยให้สามารถพบมะเร็งได้เกือบทุกชนิด

ดื่มแต่พอดี
การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ การดื่มแอลกอฮอล์ (โดย เฉพาะหากคู่มากับการสูบบุหรี่)เป็นสาเหตุ หลักในการเกิดมะเร็งช่องปากและลำคอ อีก ทั้งมีส่วนเกี่ยวพันกับมะเร็งชนิดอื่นๆ ด้วย แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรค หัวใจดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ แต่หากคุณสามารถจำกัดการดื่มลงให้เหลือ แค่ 2 แก้วต่อวันจะเป็นการดีที่สุด

มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญ ในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่ ประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญ เชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็น มะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา วัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV และได้รับการ รับรองให้ใช้ได้

หลีกเลี่ยงแสงแดด
รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่ายๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งและพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสง แดดโดยตรงในช่วง เวลา 10.00 - 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้ม สูงสุด

นอนหลับให้สนิท
ผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่สมองผลิตใน ระหว่าง การนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกัน มะเร็งได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อการนอนนั้นเป็นการนอนหลับอย่าง สนิทต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น

สืบสาวเรื่องราวครอบครัว
มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หรือพูดง่ายๆ ก็คือ โรคมะเร็ง สามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้น การได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณ มีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็ง ชนิดใดถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วย ของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อ แพทย์จะสามารถให้คำแนะนำ และดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม

หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย

สารจำพวก ยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซินนั้นเต็มไปด้วย สารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อม รอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สาร เคมีเหล่านี้ ในบ้านหรือที่ทำงาน ย่อมเป็นการลดโอกาสในการ สัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้ กับผ้าเฟอร์นิเจอร์และสินค้า อิเล็กโทรนิกต่างๆ ด้วยเช่นกัน

มะเร็งเกิดขึ้นได้อย่างไร สาเหตุส่วนใหญ่มาจากไหน

    การถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการถ่ายทอดเชื้อมะเร็งจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งเสมอไป
    เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย อย่างเช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือภาวะทุพโภชนาการที่เกิดจากภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารผิดสัดส่วนทั้งขาดและเกิน ส่งผลให้ร่างกายเกิดความไม่สมดุล
    สัมผัสหรือได้รับสารก่อมะเร็ง อย่างเช่น ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ การได้รับเชื้อราที่มักจะปนเปื้อนมากับอาหารประเภทอัลฟาท็อกซิล การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การรับประทานที่ใส่ดินประสิวเป็นประจำ ผู้ที่ชอบรับประทานอาหารรสเค็มจัดและอาหารส่วนที่ไหม้เกรียม ไปจนผู้ที่โดนแสงแดดจัดและได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตเป็นเวลานานและเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังได้

พฤติกรรมที่ควรทำ และควรเลี่ยง เพื่อห่างไกลโรคมะเร็ง

    งดสูบบุหรี่และอยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่ รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
    รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการและรับประทานอาหารอย่างสมดุล โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เลือกรับประทานผักผลไม้ที่หลากหลาย เน้นการรับประทานอาหารประเภทธัญพืชและอาหารที่มีเส้นใยมากขึ้น ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
    อย่ารับประทานอาหารที่หมดอายุหรือมีเชื้อรา
    ลด หรืองดเว้นการรับประทานอาหารจำพวกปิ้ง ย่าง และหมักดอง
    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่มีแสงแดดจัดเป็นเวลานาน ๆ หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องหาอุปกรณ์เพื่อช่วยป้องกันร่างกายหรือผิวหนังจากแสงแดด และควรทาครีมกันแดดทั้งผิวหน้าและผิวกาย
    ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
    ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ
    หลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดความเครียด
    ตรวจร่างกายประจำปีเป็นประจำทุกปี
    หากสงสัยว่าตัวเองมีอาการปกติซึ่งเป็นอาการของโรคมะเร็งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที

6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
"NEWTECH INSULATION" ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
"เพราะเรา...เข้าใจเรื่องเสียง"

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
โปรโมทสินค้าฟรี / หมอออนไลน์: ช็อก (Shock)
« เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2025, 12:33:35 น. »
หมอออนไลน์: ช็อก (Shock)

ช็อก ในทางการแพทย์ หมายถึง ภาวะที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้รับเลือดซึ่งมีสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอ อันสืบเนื่องมาจากระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลวด้วยสาเหตุต่าง ๆ ทำให้อวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ สมอง ตับ ไต ลำไส้ เป็นต้น มีภาวะขาดเลือดและทำหน้าที่ไม่ได้ ซึ่งในที่สุดเกิดภาวะล้มเหลว (failure) ของอวัยวะเหล่านี้จนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

มักพบเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่มีอาการรุนแรงหรือขาดการดูแลรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่แรก

ผู้ป่วยมักมีประวัติได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ มีการเจ็บป่วยอื่น ๆ หรือมีการใช้ยามาก่อน

สาเหตุ

สาเหตุมีหลากหลายประการ ขึ้นกับชนิดของช็อก ซึ่งแบ่งเป็น 4 ชนิดใหญ่ ๆ ได้แก่ ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง (hypovolemic/oligemic shock) ภาวะช็อกจากความผิดปกติของหัวใจ (cardiogenic shock) ภาวะช็อกจากภาวะอุดกั้นนอกหัวใจ (extracardiac obstructive shock) และภาวะช็อกจากปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว (distributive shock) แต่ละชนิดก็อาจมีสาเหตุได้ต่าง ๆ (ดู "ชนิดและสาเหตุของช็อก" ด้านล่าง) ภาวะเหล่านี้ทำให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ อวัยวะสำคัญขาดเลือดจนเซลล์ตาย เกิดอาการที่รุนแรงมากมาย

ชนิดและสาเหตุของช็อกที่พบบ่อย

1. ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง อาจมีสาเหตุจาก

    การตกเลือด เช่น เลือดออกจากบาดแผลหรือกระดูกหัก ตกเลือดหลังคลอดหรือแท้งบุตร อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด ไข้เลือดออก เลือดออกในช่องปอดหรือช่องท้อง ครรภ์นอกมดลูก
    การสูญเสียน้ำออกภายนอก เช่น ท้องเดินรุนแรง อาเจียนรุนแรง การใช้ยาขับปัสสาวะมากเกิน ภาวะคีโตแอซิโดซิส หรือน้ำตาลในเลือดสูงรุนแรงในผู้ป่วยเบาหวาน เบาจืด บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
    การสูญเสียน้ำอยู่ภายในร่างกาย เช่น ไข้เลือดออก กระเพาะหรือลำไส้อุดกั้น ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ภาวะท้องมาน (ascites)

2. ภาวะช็อกจากความผิดปกติของหัวใจ อาจมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน กล้ามเนื้อหัวใจพิการ (cardiomyopathy) ลิ้นหัวใจตีบ (valvular stenosis) หัวใจเต้นผิดจังหวะ

3. ภาวะช็อกจากภาวะอุดกั้นนอกหัวใจ อาจมีสาเหตุจากภาวะหัวใจถูกบีบรัด (cardiac tamponade) ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอดอย่างรุนแรง ภาวะปอดทะลุชนิดรุนแรง

4. ภาวะช็อกจากปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว อาจมีสาเหตุจาก

    การแพ้ที่รุนแรง เรียกว่า ภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock) เช่น แพ้ยา (ที่พบบ่อย คือ เพนิซิลลิน ยาชา) เซรุ่มที่ผลิตจากสัตว์ พิษแมลง (ผึ้ง ต่อ มด) อาหาร (กุ้ง หอย ปู ไข่) เป็นต้น
    ความผิดปกติของระบบประสาท เรียกว่า ภาวะช็อกจากระบบประสาท (neurogenic shock) ที่สำคัญได้แก่ ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ
    โรคติดเชื้อ เรียกว่า ภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (septic shock) เช่น โลหิตเป็นพิษ ปอดอักเสบ ไทฟอยด์ ถุงน้ำดีอักเสบ ท่อน้ำดีอักเสบ กรวยไตอักเสบ เยื่อบุมดลูกอักเสบจากการทำแท้ง เป็นต้น พิษของเชื้อโรคจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเคมีหลายชนิด ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว นอกจากนี้ยังมีผลต่อการทำงานของหัวใจและเลือดออกง่าย (ร่างกายสูญเสียเลือด) ดังนั้น ภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อจึงอาจเกิดจากกลไกหลายอย่างร่วมกัน

ผู้ที่มีความต้านทานโรคต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน มะเร็ง ตับแข็ง ขาดอาหาร หรือใช้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกชนิดนี้มากกว่าคนทั่วไป

    การใช้ยา ได้แก่ กลุ่มยาขยายหลอดเลือด เช่น ไอโซซอร์ไบด์ (isosorbide) ถ้าใช้เกินขนาดอาจทำให้เกิดภาวะช็อกได้
    ภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน (acute adrenal insufficiency) พบในผู้ป่วยโรคแอดดิสัน และผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะช็อก เรียกว่า ภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (adrenal crisis)

อาการ

อาการขึ้นกับสาเหตุ ระยะ และความรุนแรงของโรค

ผู้ป่วยมักมีประวัติและอาการแสดงของภาวะการเจ็บป่วยที่เป็นสาเหตุนำมาก่อน เช่น การบาดเจ็บ เลือดออก อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด (ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร) ท้องเดิน อาเจียน กระหายน้ำ และปัสสาวะบ่อยมาก (เบาหวาน เบาจืด) ปวดท้องรุนแรง (ครรภ์นอกมดลูก) เจ็บหน้าอก (กล้ามเนื้อหัวใจตาย) เป็นไข้จากโรคติดเชื้อ เป็นต้น

ผู้ป่วยที่เริ่มเข้าสู่ภาวะช็อกในระยะแรก ๆ อาจมีอาการไม่เด่นชัด จนกระทั่งระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวและอวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปเลี้ยง จึงจะปรากฏอาการเด่นชัด

อาการที่พบได้บ่อยก็คือ อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย เวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม อาจรู้สึกใจหวิวใจสั่นร่วมด้วย อาการจะเป็นมากเวลาลุกนั่ง จนต้องล้มตัวลงนอนราบ ผู้ป่วยมักมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะออกน้อย ตัวเย็นและมีเหงื่อออก ริมฝีปากและเล็บเริ่มเขียวคล้ำ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจตื้นและถี่

ต่อมาจะมีอาการซึม สับสน เพ้อ กระหายน้ำมาก ปัสสาวะไม่ออก ผิวหนังซีดคล้ำ ตัวเย็นจัด หายใจหอบ ค่อย ๆ ซึมลงจนหมดสติในที่สุด

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูง ภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง เลือดเป็นกรดจากการคั่งของกรดแล็กติก กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เซลล์สมองตาย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ซึม กระสับกระส่าย สับสน หายใจตื้นและถี่ หายใจหอบ มือเท้าเย็นและชุ่มเหงื่อ (ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากปัจจัยที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว เช่น โรคติดเชื้อในระยะแรกอาจมีตัวอุ่นและไม่มีเหงื่อชุ่ม)

ชีพจรมักเต้นเบาและเร็วมากกว่า 100 ครั้ง/นาที ยกเว้นบางกรณี เช่น ผู้ป่วยกินยากลุ่มปิดกั้นบีตา

อยู่ก่อน ก็อาจพบชีพจรช้าได้

มักพบไข้สูงในผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากโรคติดเชื้อหรือภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน ส่วนผู้สูงอายุและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำที่ช็อกจากโรคติดเชื้ออาจไม่มีไข้ก็ได้

มักตรวจพบความดันโลหิตช่วงบนต่ำกว่า 90 มม.ปรอท และแรงดันชีพจร (ความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนกับช่วงล่าง) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท เช่น 90/70 หรือ 80/60 มม.ปรอท ยกเว้นในระยะแรกของการเกิดภาวะช็อก หรือภาวะใกล้ช็อก (impending shock) ความดันวัดในท่านอนอาจมีค่าปกติ แต่ชีพจรอาจเร็วกว่าปกติ สามารถทดสอบโดยการวัดความดันและจับชีพจรในท่านั่งเปรียบเทียบกับท่านอน ถ้าความดันช่วงบนในท่านั่งต่ำกว่าท่านอนมากกว่า 10-20 มม.ปรอท และชีพจรในท่านั่งเร็วกว่าท่านอนมากกว่า 15 ครั้ง/นาที ก็แสดงว่าผู้ป่วยมีภาวะใกล้ช็อกเนื่องจากปริมาตรของเลือดลดลง

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูงอยู่ก่อน ขณะมีภาวะช็อก ความดันโลหิตอาจพบว่าไม่ต่ำมากนักก็ได้

นอกจากนี้ ยังอาจตรวจพบอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น จุดแดงจ้ำเขียวในโรคไข้กาฬหลังแอ่น ภาวะซีดจากการตกเลือดหรือครรภ์นอกมดลูก หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือได้ยินเสียงฟู่ (murmur) ของหัวใจ อาการแสดงของโรคคุชชิง ในผู้ป่วยที่ช็อกจากภาวะต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการค้นหาสาเหตุโดยการตรวจเลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์คลื่นหัวใจ และตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ให้น้ำเกลือนอร์มัลหรือริงเกอร์แล็กเทต ให้เลือด ใส่ท่อหายใจ ให้ออกซิเจน เป็นต้น

ในรายที่ให้สารน้ำแล้วความดันโลหิตยังต่ำ แพทย์จะให้สารกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อหลอดเลือด เช่น โดบูทามีน (dobutamine) โดพามีน (dopamine) หรือ นอร์เอพิเนฟรีน (norepinephrine)นอกจากนี้จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น

    ให้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ
    ผ่าตัดผู้ป่วยที่เป็นครรภ์นอกมดลูก
    ให้การรักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายแบบฉุกเฉิน เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบัลลูน
    ภาวะช็อกจากต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน ฉีดไฮโดรคอร์ติโซน เข้าหลอดเลือดดำ
    ภาวะช็อกจากอาการแพ้ ฉีดอะดรีนาลิน ไดเฟนไฮดรามีน รานิทิดีน และเมทิลเพร็ดนิโซโลน เข้าหลอดเลือดดำ

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค และระยะของโรคที่เริ่มให้การรักษา ถ้าสามารถให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มในขณะที่มีอาการรุนแรงไม่มาก ก็มักจะได้ผลดีหรือหายเป็นปกติ แต่ถ้าปล่อยให้อวัยวะสำคัญขาดเลือดจนเกิดภาวะล้มเหลว ก็มักจะเสียชีวิต โดยทั่วไปภาวะช็อกที่มีสาเหตุจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และภาวะโลหิตเป็นพิษ มักมีอัตราตายค่อนข้างสูง

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น  มีอาการอ่อนเพลีย กระสับกระส่าย เวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ใจหวิวใจสั่น ตัวเย็นและมีเหงื่อออก ริมฝีปากและเล็บเริ่มเขียวคล้ำ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจตื้นและถี่  ควรทำการปฐมพยาบาล และรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นภาวะช็อก ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน  ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน  หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การปฐมพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก

1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ ควรยกขาผู้ป่วยขึ้นสูง (ยกเว้นในรายที่หายใจหอบ) ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายโดยการห่มผ้า ให้ออกซิเจน

2. ถ้าผู้ป่วยมีสติอยู่ ควรพูดให้กำลังใจ อาจให้ดมยาดมด้วยก็ได้

3. อย่าให้คนมามุงล้อมผู้ป่วย

4. ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับอาการหมดสติ

5. ถ้าพบสาเหตุของภาวะช็อก ให้การช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เช่น

    ถ้ามีเลือดออก รีบห้ามเลือดให้หยุด
    ถ้ามีไข้สูง ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น
    ถ้ามีรอยฟกช้ำที่สงสัยกระดูกหัก ให้ตรึงส่วนนั้นไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว

การป้องกัน

การป้องกันภาวะช็อก สามารถทำได้โดย

 1. การรักษาอาการเจ็บป่วย (เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ท้องเดิน ไข้เลือดออก การบาดเจ็บ) ให้ถูกต้องตั้งแต่แรก

2. มีพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุของภาวะช็อก เช่น โรคหัวใจขาดเลือด การหลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร ระวังการแพ้ยา เป็นต้น

ข้อแนะนำ

ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกโดยตรวจหาสาเหตุไม่ได้ชัดเจน (เช่น ตกเลือด โรคหัวใจ) หรือพบว่ามีไข้สูงร่วมด้วย ควรนึกถึงภาวะติดเชื้อและต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน

สำหรับต่อมหมวกไตบกพร่องเฉียบพลัน (ภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ) เป็นภาวะที่พบได้เป็นครั้งคราว ส่วนน้อยที่เกิดจากโรคแอดดิสัน ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์ รักษาโรคในขนาดสูงนานเกิน 1 สัปดาห์ หรือใช้ในขนาดต่ำติดต่อกันเป็นแรมเดือนแรมปี ที่พบบ่อยก็คือ การใช้ยาชุด ยาลูกกลอนที่มีสเตียรอยด์ผสมรักษาตัวเองเมื่อเป็นโรคปวดข้อ (เช่น ข้อเข่าเสื่อม) โรคภูมิแพ้หรือโรคหืด จนเกิดโรคคุชชิง และต่อมหมวกไตฝ่อหรือบกพร่องเรื้อรัง

ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะช็อกเมื่อมีการหยุด (ถอน) ยาทันที หรือมีภาวะเครียด เช่น ติดเชื้อ ท้องเดิน อุบัติเหตุ ผ่าตัด อดอาหารเป็นเวลานาน เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน สับสน หมดสติ ความดันโลหิตต่ำ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็อาจเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว หากได้รับสเตียรอยด์ฉีดเข้าร่างกายก็จะฟื้นตัวและหายเป็นปกติได้

ดังนั้น เมื่อพบผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน หรือให้การรักษาแล้วไม่ดีขึ้น ควรคิดถึงโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีประวัติว่ากินยาสเตียรอยด์ ยาชุด หรือยาลูกกลอนอยู่เป็นประจำ หรือตรวจพบลักษณะอาการของโรคคุชชิง เช่น อ้วนฉุ หน้าอูม แขนขาลีบ มีไขมัน (หนอกควาย) ที่หลังคอ เป็นต้น

8
เที่ยววัดสวยในไทย ไปเที่ยว ไหว้พระ ทำบุญ ถ่ายรูปสวยๆ

ไปเที่ยววัดสวยในไทย นอกจากจะได้ไหว้พระ ทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว ยังได้เก็บภาพความงดงามของสถาปัตยกรรมและศิลปะอันวิจิตรอีกด้วยค่ะ นี่คือวัดสวยโดดเด่นในภูมิภาคต่างๆ ของไทย ที่คุณไม่ควรพลาด:

1. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (กรุงเทพมหานคร)
จุดเด่น: พระปรางค์วัดอรุณฯ ที่โดดเด่นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ประดับด้วยเครื่องกระเบื้องและถ้วยชามเบญจรงค์หลากสีสัน ยามต้องแสงอาทิตย์จะเปล่งประกายงดงาม ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ถ่ายรูปสวยงามได้ทั้งกลางวันและกลางคืน

กิจกรรม: ไหว้พระปรางค์, ชมพระอุโบสถและจิตรกรรมฝาผนัง, ถ่ายรูปคู่กับวิวแม่น้ำเจ้าพระยา


2. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร (กรุงเทพมหานคร)
จุดเด่น: วัดที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมไทยและยุโรปได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะพระอุโบสถที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องเบญจรงค์ทั้งหลัง ภายในประดับด้วยลายไทยประยุกต์และกระจกสี (Stained Glass) ที่งดงาม

กิจกรรม: ชมความงามของพระอุโบสถและเจดีย์, ไหว้พระขอพร


3. วัดไชยวัฒนาราม (พระนครศรีอยุธยา)
จุดเด่น: โบราณสถานสมัยอยุธยาตอนปลายที่ยังคงความงดงามอลังการ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดดเด่นด้วยปรางค์ประธานทรงขอมล้อมรอบด้วยระเบียงคตและเจดีย์ราย สร้างความรู้สึกย้อนยุคและเหมาะกับการใส่ชุดไทยมาถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง

กิจกรรม: เดินชมสถาปัตยกรรมโบราณ, ถ่ายภาพย้อนยุค


4. วัดร่องขุ่น (เชียงราย)
จุดเด่น: "วัดขาว" ผลงานการสร้างสรรค์ของอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามวิจิตรด้วยสีขาวและกระจกสะท้อนแสง มีความหมายทางพุทธศาสนาแฝงอยู่ทุกรายละเอียด เป็นวัดที่สวยงามแปลกตาและเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมระดับโลก

กิจกรรม: ชมความอลังการของวิหาร, ถ่ายรูปกับมุมศิลปะต่างๆ


5. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร (เชียงใหม่)
จุดเด่น: วัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ โดดเด่นด้วยเจดีย์สีทองอร่าม ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังสามารถชมวิวเมืองเชียงใหม่ได้แบบพาโนรามา

กิจกรรม: ขึ้นไปกราบไหว้พระธาตุ, ชมวิวเมือง, ถ่ายรูปกับเจดีย์สีทอง


6. วัดภูมินทร์ (น่าน)
จุดเด่น: วิหารจตุรมุขแห่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่เหมือนใคร มีบันไดนาคเลื้อยงดงามทั้ง 4 ทิศ และมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง "ปู่ม่านย่าม่าน" หรือ "กระซิบรักบันลือโลก" อันเลื่องชื่อที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพคู่

กิจกรรม: ชมสถาปัตยกรรมวิหารจตุรมุข, ชมจิตรกรรมฝาผนัง, ถ่ายภาพกระซิบรัก


7. วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว (อุบลราชธานี)
จุดเด่น: "วัดเรืองแสง" วัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขาใกล้ช่องเม็ก มีอุโบสถที่ออกแบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมวัดเชียงของหลวงพระบาง และมีต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงด้านหลังอุโบสถที่สวยงามยามค่ำคืน (ต้องรอให้มืดสนิทและเงยหน้ามองจะเห็นชัดเจนขึ้น)

กิจกรรม: ชมอุโบสถ, รอชมต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงยามค่ำคืน


8. ปราสาทหินพนมรุ้ง (บุรีรัมย์)
จุดเด่น: แม้จะไม่ใช่วัดพุทธโดยตรง แต่เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่งดงามอลังการ สร้างบนปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว มีสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่โดดเด่นและวิจิตรบรรจง โดยเฉพาะหน้าบันและทับหลังรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์

กิจกรรม: ชมความงามของปราสาทหิน, ชมปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ขึ้น-ตกตรง 15 ช่องประตู (หากตรงกับช่วงเวลา)


9. วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร (นครศรีธรรมราช)
จุดเด่น: ปูชนียสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองนครศรีธรรมราช เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า โดดเด่นด้วยเจดีย์ทรงลังกา "พระบรมธาตุเจดีย์" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ

กิจกรรม: สักการะพระบรมสารีริกธาตุ, ชมสถาปัตยกรรมของเจดีย์


10. วัดฉลอง (วัดไชยธาราราม) (ภูเก็ต)
จุดเด่น: วัดศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองภูเก็ต เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของ "หลวงพ่อแช่ม" อดีตเจ้าอาวาสผู้เป็นที่เคารพเลื่อมใส มีพระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม

กิจกรรม: ไหว้พระขอพรหลวงพ่อแช่ม, ชมความงามของพระมหาธาตุเจดีย์

การไปวัดสวยเหล่านี้ไม่เพียงแต่ได้ทำบุญเท่านั้น แต่ยังได้ชื่นชมศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมอันเป็นมรดกของชาติอีกด้วยค่ะ อย่าลืมแต่งกายสุภาพเมื่อเข้าวัดนะคะ

มีวัดไหนในลิสต์ที่คุณสนใจเป็นพิเศษ หรืออยากให้แนะนำวัดสวยๆ เพิ่มเติมในจังหวัดอื่นๆ ไหมคะ?

9
จัดฟันบางนา: ใส่ฟันปลอมแบบชั่วคราว สามารถจัดฟันได้หรือไม่

เชื่อว่าหลายๆท่านคงมีคำถามที่ค้างคาใจ เกี่ยวกับการจัดฟันหลังจากที่ทำฟันเทียมสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งหลายๆท่านมองว่าอาจจะทำไม่ได้ หรืออาจจะทำได้ ทำให้เกิดการตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำจะทำการจัดฟันดีไหมหลังจากที่ทำฟันเทียมไปแล้ว เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาที่เป็นผลกระทบต่อฟันเทียม หรือจะเข้าไปถามทันตแพทย์ก็กลัวที่จะต้องเสียเวลา

ในวันนี้จะขอนำข้อมูลดังกล่าวมาไขข้อสงสัยเบื้องต้นกัน เพื่อให้ท่านได้ศึกษาก่อนที่จะไปพบทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ใส่ฟันแบบรูปแบบต่างๆ สามารถจัดฟันได้หรือไม่ ?

ถือว่าเป็นหนึ่งในคำถามยอดนิยมของผู้ที่ทำการใส่ฟันปลอม และถือได้ว่าเป็นคำถามที่ดีมากๆ เพราะ มีหลายๆท่านที่กำลังคิดมากเกรงว่าทำฟันปลอมไปแล้วจะไม่สามารถที่จะทำการจัดฟันได้ หรือควรที่จะทำการจัดฟันก่อนแล้วค่อยทำฟันปลอมดี ซึ่งขอบอกเลยว่าเราจะมาไขข้อสงสัยเหล่านี้ด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

– กรณีใส่ฟันปลอมแบบถอดได้

หากว่าใส่ฟันปลอมแบบถอดได้และต้องการที่จะทำการจัดฟัน อาจจำเป็นต้องถอดฟันปลอมชิ้นนั้นออกก่อน และจะไม่สามารถใส่ฟันปลอมนั้นได้อีกต่อไป เนื่องจากว่าแผ่นเพดานของฟันปลอม และ ในส่วนที่เป็นอะคริลิก จะไปทำการขัดขวางการเคลื่อนที่ของฟัน ทำให้ระบบการจัดฟันที่ต้องให้ฟันเคลื่อนที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ มีความผิดปกติในการเคลื่อนตัว ส่วนใหญ่จึงนิยมทำการจัดฟันและใส่ฟันปลอมแบบแบร็กเก็ตติดบนซี่ฟัน ซึ่งจะช่วยในเรื่องความสวยงามและช่วยในการคงที่ของช่องว่างให้เหมาะสมกับฟันปลอมที่จะทำในภายหลังจากที่จัดฟันเสร็จ

ดังนั้นเมื่อทำการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ จะต้องทำการทำฟันปลอมใหม่เมื่อได้ทำการจัดฟันหลังจากใส่ฟันปลอม เนื่องจากว่าการเคลื่อนที่ ที่เกิดจากการจัดฟันจะส่งผลให้การเรียงตัวของฟันไม่เหมือนเดิม ทำให้ไม่สามารถใส่ฟันปลอมที่ทำมาก่อนการจัดฟันได้นั่นเอง

– กรณีใส่ครอบฟัน

ในกรณีนี้นั้นสามารถที่จะทำการจัดฟันได้ โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่อาจจำเป็นต้องใช้น้ำยาชนิดพิเศษที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะจ่ายให้ในการยึดติดแบร็กเก็ตกับครอบฟัน

– กรณีใส่สะพานฟัน

หากว่าท่านกำลังใส่สะพานฟันอยู่ ขอบอกเลยว่าท่านสามารถที่จะทำการจัดฟันได้ แต่อย่างเพิ่งดีใจไป เพราะในระหว่างที่ทำการจัดฟัน ท่านจำเป็นที่จะต้องเอาสะพานฟันออก แล้วทำการใส่ครอบฟันให้กับฟันที่เป็นหลักยึดสะพานฟันหน้าหลังทั้ง 2 ซี่ ในส่วนที่เป็นช่องว่างของฟันที่สูญเสียไปนั้น จะต้องทำการใส่ฟันปลอมแบบชั่วคราวไว้จนกว่าจะทำการจัดฟันเสร็จสิ้น และเมื่อทำการจัดเสร็จเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องทำสะพานฟันใหม่ เพื่อให้มีรูปร่างและการเรียงตัวหลังการจัดฟันให้เหมาะสมตามลักษณะฟันที่จัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว

สรุปง่ายๆให้เข้าใจกันได้ ก็คือ เราจะไม่สามารถทำฟันปลอมก่อนการจัดฟันได้ เนื่องจากว่าการทำฟันปลอมนั้นก็จะทำโดยยึดลักษณะฟันในปัจจุบัน เช่น การเรียงตัวของฟัน เพราะเมื่อเราทำการจัดฟัน แนวการเรียงตัวของฟัน ลักษณะของฟันต่างๆจะถูกปรับเปลี่ยนเคลื่อนที่ไม่เหมือนเดิม การใช้ฟันปลอมของเดิมที่ยึดลักษณะก่อนที่จะทำการจัดฟันนั้น จึงถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใส่อีกครั้ง หากเป็นฟันปลอมแบบถอดได้ แต่ถ้าเป็นแบบถาวรทันตแพทย์จะนำออกและจะไม่ใส่ให้ แต่จะเปลี่ยนเป็นการพิมพ์แบบฟันใหม่อีกครั้ง หรือพูดง่ายๆก็คือเริ่มทำฟันปลอมใหม่อีกรอบนั่นเอง

ดังนั้น หากว่าท่านทราบอยู่แล้วว่าการเรียงตัวของฟันไม่สวยงามหรืออาจจะก่อให้เกิดปัญหาได้ในอนาคต จึงควรเลือกการจัดฟันให้เรียบร้อยก่อนที่จะทำฟันปลอม ซึ่งควรบอกความต้องการของเรากับทันตแพทย์ให้ชัดเจนเพื่อให้เกิดการวางแผนในระยะยาวแบบเป็นขั้นตอนเป็นระบบ เพื่อให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยในสิ่งที่ควรจะเป็นก่อนที่จะลงมือทำอะไรนั่นเอง

10
แอร์เคลื่อนที่ ไม่มีท่อลมร้อน มีไหมนะ?

มีคนสงสัยว่าแอร์เคลื่อนที่ ทำไมต้องมีท่อระบายลมร้อน ในขณะที่แอร์บ้านปกติ แอร์ติดผนัง แอร์แขวนฝ้า แอร์ฝังฝ้า ไม่เห็นต้องมีท่อลมร้อนเลย อยากจะเลือกซื้อแอร์เคลื่อนที่ แบบที่ไม่มีท่อลมร้อน ไม่ต้องใช้ท่อระบายลม แต่หายังไงก็ไม่เจอ จนเกิดความสงสัยว่า ทำไมไม่มีให้เลือกซื้อเลย ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่า ผู้ที่ตั้งคำถามลักษณะนี้ ยังไม่เข้าใจการทำงานของแอร์ หรือที่เรียกภาษาไทยอย่างถูกต้องว่า เครื่องปรับอากาศ

แอร์เคลื่อนที่ ทำไมต้องมีท่อลมร้อน

คาดว่าผู้ที่สงสัยว่า ทำไมแอร์เคลื่อนที่ ต้องมีท่อลมร้อน ยังไม่ได้อ่าน วิธีเพิ่มประสิทธิภาพการทำความเย็นให้แอร์เคลื่อนที่ แน่ๆ ถ้าอ่านมาบ้างแล้ว จะเข้าใจว่า แอร์เคลื่อนที่ส่วนมาก ที่ขายกัน จะมีท่อเพียงท่อเดียว คือท่อระบายลมร้อนออกจากห้อง ซึ่งในการใช้งานจริง ยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป ควรจะเป็นชนิดที่มีสองท่อ หรือดัดแปลงแก้ไขเพิ่มท่อดูดอากาศจากภายนอก มาใช้ในการระบายความร้อนเพิ่มเติมด้วย จึงจะได้ประสิทธิภาพการทำงานของแอร์สูงสุด

แอร์เคลื่อนที่ ไม่มีท่อลมร้อน ไม่ได้เพราะอะไร? การทำงานของเครื่องปรับอากาศ หรือที่เรียกกันติดปากสั้นๆ ว่าแอร์ คือเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ใช้ในการย้ายความร้อน จากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่ง เมื่อพูดถึงแอร์ติดผนัง หรือติดฝ้าเพดาน จึงหมายความถึงการย้ายความร้อนจากภายในห้อง ออกไปนอกห้อง จากคอยล์เย็น ออกไปสู่คอยล์ร้อน เป็นการทำงานขั้นพื้นฐาน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย เรื่องการทำลายแบคทีเรีย เสียงเงียบ ประหยัดไฟ นั่นเป็นรายละเอียดย่อยๆ ของแอร์ที่เราซื้อ ถ้าการทำงานขั้นพื้นฐาน ทำงานได้ไม่ดี ย้ายความร้อนออกไปนอกห้องได้น้อย ก็เป็นแอร์ที่ไม่มีคุณภาพ

ลองเปรียบเทียบกับตู้เย็นดูบ้าง ตู้เย็น ก็คือเครื่องทำความเย็น เหมือนๆ กับแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศเช่นกัน เป็นการย้ายความร้อนจากภายในตัวตู้ ผ่านทางช่องแช่แข็ง ซึ่งเป็นคอยล์เย็น ผ่านผนังตู้หนาๆ ที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนความร้อน ออกไปสู่อากาศรอบๆ ตัวตู้เย็น ซึ่งเมื่อเราสัมผัสที่ผนังตู้เย็นจะรู้สึกว่าร้อน นั่นก็คือความร้อนที่ถูกถ่ายเทจากภายใน ออกมาสู่ภายนอก ซึ่งความร้อนจะกลับเข้าไปภายในตู้เย็นได้ยาก เพราะมีฉนวนความร้อนหนาๆ คอยป้องกันเอาไว้อยู่

ช่องต่อท่อระบายลมร้อน ด้านหลังของแอร์เคลื่อนที่

เมื่อกลับมาพูดถึง แอร์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นตู้สี่เหลี่ยมๆ เหมือนกับตู้เย็น แต่มีขนาดที่เล็กกว่าพอสมควร และแอร์เคลื่อนที่ก็คือ เครื่องทำความเย็น หนีไม่พ้นหลักการนำความร้อนจากจุดนึง ไปปล่อยทิ้งอีกจุดนึงแน่นอน นั่นก็คือ นำความร้อนออกจากด้านหน้า ซึ่งเป็นช่องปล่อยลมเย็น เข้ามาหาเรา ไปทิ้งทางด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งต่อท่ออากาศไว้ เพื่อนำลมร้อนๆ จากคอยล์ร้อน ไปทิ้งด้านนอกห้อง หรือ ปล่อยทิ้งให้ไกลจากตัวเรามากที่สุด เนื่องจากลมนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าโดยรอบตัวเครื่องมากพอสมควร อย่างน้อยๆ ก็ 2 องศาล่ะน่า

ก่อนเปิดใช้งาน ควรต่อท่อระบายลมร้อน ให้เรียบร้อย

ถ้าไม่ต่อท่อลมระบายความร้อนล่ะ จะเป็นอย่างไร ลมที่ถูกปล่อยออกไป ก็จะพุ่งไปข้างหลังเครื่อง เพราะช่องต่อท่อระบายความร้อน ถูกกำหนดตำแหน่งไว้แบบนั้น แล้วลมร้อนเหล่านั้นก็จะฟุ้งกระจายอยู่รอบๆ ตัวเครื่อง ไม่ใกล้ ไม่ไกล ถ้าห้องนั้น เป็นห้องเพดานต่ำ ห้องมีขนาดเล็ก ลมร้อนเหล่านั้น ก็จะฟุ้งกระจายไม่ไกล แล้วก็หมุนเวียนกลับมาเข้าแอร์เคลื่อนที่อีกรอบ จึงเป็นการทำความเย็นที่ไม่สมบูรณ์ ไม่เหมาะสม และเปลืองไฟมาก แต่ถ้าถามว่า คนนั่งหน้าแอร์เย็นไหม ก็ยังเย็นครับ เย็นพอสมควรเลย เพียงแต่มันไม่เหมาะสม และสิ้นเปลืองพลังงาน

สรุปอีกครั้งว่า แอร์เคลื่อนที่ ไม่มีท่อลมร้อน หรือมีแล้วไม่ติดตั้ง คนที่นั่งหน้าแอร์ ก็ยังเย็นอยู่นะ แต่มันไม่เหมาะสมในเรื่องของการใช้งาน และการใช้พลังงานต่างหาก ซึ่งควรจะหลีกเลี่ยงการใช้งานในลักษณะนี้นะครับ ไม่งั้นคอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานหนักมากๆ เรียกว่าทำงานแบบไม่มีวันตัดการทำงานเลย เปิดกี่ชั่วโมง ก็ทำงานเต็มเวลาเท่านั้น เมื่อคอมเพรสเซอร์ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการตัดการทำงาน เหมือนแอร์ติดผนัง หรือตู้เย็น ทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ สึกหรอไว ทำให้เสียง่าย พังเร็ว

11
บริการด้านอาหาร: อาหารบำรุงกระดูก ชะลอข้อเข่าเสื่อม!

การมีสุขภาพที่ดี เริ่มต้นด้วยพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และอาหารที่เรารับประทานเข้าไปในแต่ละวัน อาหารบางชนิด ดีต่อโรคบางโรคเพราะจะช่วยทำให้บรรเทาความรุนแรงของโรคได้ เนื่องจากสารอาหารที่เข้าไปมีปฏิกิริยาในร่างกาย ทำให้อาการเจ็บป่วยอาจจะดีขึ้นได้ นอกจากนี้ อาหารที่เรารับประทานอาหารบางครั้งก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้เช่นเดียวกัน หากเรารับประทานในปริมาณที่มากกว่าความต้องการของร่างกาย เพราะฉะนั้น การรับประทานอาหารที่ถูกต้องหรือตามปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย หรือเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ จึงเป็นพฤติกรรมเบื้องต้นของการมีสุขภพที่ดี ยิ่งอายุมากขึ้น ใครเคยสังเกตบ้างว่า ร่างกายในหลายๆด้านจะมีความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น

เราจะมีความต้องการพลังงานลดลง เพราะมีมวลกล้ามเนื้อและกระดูกที่ลดลงตามอายุ ดังนั้น การดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารจึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างมาก จำเป็นที่ต้องจะให้ความสำคัญนเรื่องของการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะวัยผู้สูงอายุ นอกเหนือจากกล้ามเนื้อและอวัยวะระบบรับรู้ต่าง ๆ กระดูก ก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญของร่างกายที่ควรได้รับการดูแลรักษา การเสริมสร้างกระดูกให้มีความแข็งแรงอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ดังนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของอาหารที่ช่วยบำรุงกระดูก ช่วยชะลอข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี

หากนึกถึงอาหารที่ช่วยในเรื่องของกระดูก หลายคนนึกถึงนม เราทุกคนล้วนคุ้นชินกับการดื่มนมมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นนมแม่ นมวัว หรือนมตัวเลือกต่าง ๆ ในปัจจุบัน เช่น นมถั่วเหลือง หรือ นมอัลมอนด์ โดยนม หรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีนมเป็นส่วนประกอบมักอุดมไปด้วยสารอาหารประเภทแคลเซียม รวมถึงมีโปรตีน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการบำรุงสุขภาพกระดูก ในปัจจุบันมีการเติมสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มมากขึ้นลงไปในนม เราจึงเห็นนมสูตรเพิ่มวิตามินดีหรือแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับเรานั่นเอง

นอกจากนี้ เต้าหู้หรือนมถั่วเหลือง ล้วนเป็นผลผลิตของถั่วเหลืองที่มีโปรตีนอยู่ปริมาณมาก แต่แค่โปรตีนอาจไม่เพียงพอ นมถั่วเหลืองพร้อมดื่มจึงมีการเพิ่มเติมวิตามินดี แคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ ลงไป ซึ่งสามารถนำมารับประทานแทนนมสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มนมได้อีกด้วย ต่อมาคือ เนื้อสัตว์อย่างปลา ที่มีกรดไขมันจำเป็น โดยปลาที่มีกรดไขมันจำเป็นแหล่งวิตามินดี ที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะปลาที่หาซื้อได้ง่าย เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นกรดไขมันจำเป็นอย่างกรดไขมันโอเมก้า 3 ยังมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกอีกด้วย

ต่อมา อาหารประเภทผักใบสีเขียวเข้ม ที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ไม่ว่าจะเป็นคะน้า บร็อคโคลี่ ผักกะเฉด ใบยอ ใบชะพลู อีกทั้งยังมีวิตามินเค ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนด้วย ซึ่งผักแต่ละชนิดจะให้แคลเซียมในปริมาณที่มากน้อยต่างกันไป เราควรคำนึงถึงชนิดของผักและปริมาณในการรับประทานที่พอเหมาะร่วมด้วย เช่น ใบยอและใบชะพลูไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดนิ่วในไตหรือในกระเพาะปัสสาวะได้ และสุดท้ายคือ ไข่ เชื่อว่า หลายคนคุ้นเคยกับการรับประทานไข่ในเมนูต่าง ๆ เป็นอย่างดี

แต่รู้หรือไม่ว่าไข่แดง 1 ฟองนั้น มีวิตามินดีถึง 40 IU โดยประมาณ ส่วนไข่ขาวจะอุดมไปด้วยโปรตีนที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน สามารถรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง หากต้องการรับประทานมากขึ้น ควรพิจารณาอาหารชนิดอื่น ๆ ที่รับประทานร่วมกันในวันนั้นด้วย เนื่องจากไขมันบางประเภทอาจส่งผลต่อสุขภาพได้ อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารแต่ละชนิด แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่เราจะต้องรับประทานอย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อร่างกาย ถ้าหากรับประทานมากจนเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้

ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่เหมาะสมต่อร่างกาย และจะต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ เพื่อให้เรามีสุขภาพร่างกายที่ดี และห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

12
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ท่อน้ำดีตีบตันในทารก (Biliary atresia)

ทารก บางรายอาจมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินน้ำดี* ซึ่งมีได้หลายลักษณะ ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่มีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีทุกส่วนที่อยู่นอกตับ ส่วนน้อยมีการตีบตันของท่อน้ำดีเฉพาะบางส่วน การตีบตันของทางเดินน้ำดี ทำให้น้ำดีที่สร้างในตับระบายไม่ออก เกิดการคั่งอยู่ในตับ ทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย เกิดอาการดีซ่านรุนแรง และมักมีภาวะตับแข็งและตับวายแทรกซ้อนตามมาในที่สุด

บางรายอาจมีภาวะผิดปกติของอวัยวะอื่น (เช่น หัวใจ หลอดเลือด ม้าม ลำไส้) ร่วมด้วย

โรคนี้พบได้น้อยมาก (ประมาณ 1 รายในทารก 10,000 - 20,000 ราย)

*ระบบทางเดินน้ำดี (Biliary system) คือ ระบบท่อน้ำดีที่นำน้ำดีซึ่งสร้างจากเซลล์ในตับไปสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum)

ประกอบด้วย 1.ท่อตับข้างขวา (right hepatic duct ), 2.ท่อตับข้างซ้าย (left hepatic duct ), 3. ท่อตับร่วม (common hepatic duct ), 4. ท่อถุงน้ำดี (cystic duct) 5. ท่อน้ำดีร่วม (commom bile duct)

โดยน้ำดีจากตับข้างขวาและข้างซ้ายไหลผ่านท่อตับข้างขวาและท่อตับข้างซ้ายตามลำดับ ลงไปที่ท่อตับร่วม(เกิดจากการรวมตัวกันของท่อตับข้างขวาและข้างซ้าย)   น้ำดีส่วนใหญ่จะไหลผ่านท่อถุงน้ำดีไปเก็บสะสมที่ถุงน้ำดี  น้ำดีจากถุงน้ำดีและน้ำดีจากท่อตับร่วมจะไหลผ่านท่อน้ำดีร่วมลงไปในลำไส้เล็กส่วนต้น ปนออกไปกับอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีสีเหลืองซึ่งเป็นสีของน้ำดี(ที่สร้างจากบิลิรูบินซึ่งเป็นสารสีเหลือง)

โรคท่อน้ำดีตีบตันในทารก มีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีส่วนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 70 - 90) เป็นการตีบตันของท่อน้ำดีทั้งระบบ (ท่อทุกส่วน) ส่วนน้อยมีการตีบตันของระบบท่อน้ำดีบางส่วน (เช่น ตับตันเฉพาะที่ท่อตับร่วม, หรือเฉพาะที่ท่อน้ำดีร่วม, หรือที่ท่อตับร่วมกับท่อน้ำดีร่วมและถุงน้ำดีทั้ง 3 แห่ง)

สาเหตุ

เป็นภาวะที่เกิดขึ้นในระยะพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความผิดปกติของการสร้างท่อน้ำดีโดยกำเนิด

อีกส่วนหนึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติโดยกำเนิด สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด (กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตัวเอง หรือออโตอิมมูน) หรือสารพิษบางชนิด ทำให้เกิดการอักเสบของท่อน้ำดีของทารกในครรภ์ เป็นผลให้ท่อน้ำดีสลายตัวและตีบตันตามมา บ้างสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการเอ่อกลับของน้ำย่อยจากตับอ่อนของทารกในครรภ์ หรือ ทำให้ท่อน้ำดีถูกทำลาย

อาการ

ทารกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติในช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ แต่จะเริ่มมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง และปัสสาวะเหลืองเข้มคล้ายสีขมิ้น ภายในราว 2 สัปดาห์ ถึง 2 เดือนหลังคลอด และจะเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมเดือนจนผิวหนังออกเป็นสีเหลืองปนเขียว อุจจาระมักสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ต่อมาทารกจะมีอาการกระสับกระส่าย น้ำหนักลด

ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการผ่าตัดแก้ไข เซลล์ตับจะถูกทำลายจนเกิดภาวะตับแข็ง มีอาการท้องมาน อาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด และภาวะเลือดออกง่าย

ภาวะแทรกซ้อน

ตับแข็ง ตับวาย

ความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (portal hypertension) ทำให้ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบอาการตาเหลือง ตัวเหลืองจัด (หรือเหลืองปนเขียว) ปัสสาวะเหลืองเข้มเป็นสีขมิ้น อุจจาระสีซีดขาว เมื่ออายุเกิน 2-3 เดือน มักตรวจพบตับโต ม้ามโต อาจพบท้องบวม

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น อัลตราซาวนด์ สแกนตับ (hepatobiliary scan) การเจาะเนื้อตับออกพิสูจน์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล

มักจะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขภาวะตีบตันของทางเดินน้ำดีให้ระบายน้ำดีได้สะดวก ซึ่งควรทำก่อนอายุได้ 8 สัปดาห์ และติดตามผลการรักษาเป็นระยะ ในรายที่พบว่าน้ำดียังระบายได้ไม่ดีและมีเซลล์ตับถูกทำลาย แพทย์จะทำการปลูกถ่ายตับ (liver transplantation)

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค หากมีความรุนแรงไม่มาก และได้รับการผ่าตัดแก้ไขก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อน ทารกก็สามารถเจริญเติบโตได้เป็นปกติ โดยเฉลี่ยราวร้อยละ 50 และ 30 มีชีวิตอยู่ได้นานเกิน 5 และ 10 ปีตามลำดับ ราว 1 ใน 3 ของผู้ป่วยหลังได้รับผ่าตัดแก้ไขภาวะตีบตันของทางเดินน้ำดี การระบายน้ำดียังไม่ดีพอ มักจะเสียชีวิตภายในไม่กี่ปี จากโรคตับแข็งรุนแรงและตับวาย นอกจากจะได้รับการปลูกถ่ายตับ ซึ่งช่วยให้การทำหน้าที่ของตับฟื้นคืนปกติ

ถ้ามีความรุนแรง หรือมีความผิดปกติของอวัยวะอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดปกติของหัวใจ) หรือได้รับการรักษาช้าเกิน (หลังอายุ 8 สัปดาห์ขึ้นไป) ผลการรักษาก็มักจะไม่สู้ดี และมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน (ราว 1-2 ปี หรือไม่เกิน 5 ปี)

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ทารกแรกเกิดมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองที่มีลักษณะเหลืองมากขึ้นเรื่อย ๆ นานเกินสัปดาห์ หรือมีอาการเหลืองจัด และอุจจาระสีซีดขาว ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคท่อน้ำดีตีบตัน ควรดูแลรักษา ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีไข้ ซึม ดีซ่าน ไม่ดูดนม ท้องเดิน หรือแผลอักเสบ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น)

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

เมื่อพบทารกแรกเกิด มีอาการดีซ่าน ควรสังเกตอาการเปลี่ยนแปลง ลักษณะการขับถ่ายและสีอุจจาระ ถ้าพบว่าตัวเหลืองเข้มขึ้นทุกวันนานเกิน 1-2 สัปดาห์ หรือพบว่าอุจจาระสีเหลืองอ่อนหรือซีดขาว ควรคิดถึงโรคนี้ และรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

13
โปรโมทสินค้าฟรี / อาการโรคหัวใจ
« เมื่อ: วันที่ 8 กรกฎาคม 2025, 19:35:00 น. »
อาการโรคหัวใจ

ความเป็นจริงแล้วคำว่า"โรคหัวใจ"มีความหมายกว้างมาก อาการที่เกิดจากโรคหัวใจหรือสัมพันธ์กับหัวใจนั้น มีไม่มากนัก ดังอาการ ข้างล่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามอาการดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคหัวใจเท่านั้น ยังมีโรคอื่นๆที่ให้อาการคล้ายกัน ดังนั้นการที่ แพทย์จะพิจารณาให้การวินิจฉัยนั้น จำเป็นต้องอาศัยประวัติ อาการโดยละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย บางครั้งต้องอาศัยการ ตรวจพิเศษต่างๆ เช่น เลือด ปัสสาวะ เอกซเรย์ เป็นต้น เพื่อแยกโรคต่างๆที่มีอาการคล้ายกัน

    เจ็บหน้าอก

อวัยวะที่อยู่ในทรวงอกนอกจากหัวใจแล้วยังมี เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีการอักเสบหรือพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ก็ทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ได้ทั้งสิ้น แต่ลักษณะอาการอาจแตกต่างกัน

    อาการต่อไปนี้เข้าได้กับอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด

    เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือ ทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไป ที่แขนซ้าย หรือ ทั้งสองข้าง หรือ จุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน
    อาการตามข้อ 1 เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือ ขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง
    ในบางรายที่อาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง หรือ นอน หรือ หลังอาหาร
    กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น เหงื่อออก มาก เป็นลม (อาการเช่นนี้ยังพบได้ในโรคของหลอดเลือดแดงใหญ่ปริ ฉีก)

    อาการต่อไปนี้ไม่เหมือนอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด

    เจ็บแหลมๆคล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก
    อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน
    อาการมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือ ขยับตัว หรือ หายใจเข้าลึกๆ
    อาการเจ็บร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า

    อาการตามข้อ 1,2 และ 3 อาจเกิดจากกระดูก กล้ามเนื้อหน้าอก เยื่อหุ้มปอดอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยโรคหัวใจขาดเลือด นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว ต้องอาศัยประวัติอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัย เสี่ยงต่างๆ ดังนั้นในผู้ป่วยบางรายที่อาการไม่เหมือนนัก แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ก็ควรได้รับการตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย

    หอบ เหนื่อยง่ายผิดปกติ

อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน มีสาเหตุมากมาย เช่น โลหิตจาง(ซีด) โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ ภาวะหัวใจล้มเหลว (heart failure) แม้แต่ความวิตกกังวล หรือ โรคแพนิค ก็ทำให้เหนื่อยได้เช่นกัน อาการเหนื่อยง่ายจากโรคหัวใจ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวนั้น จะเหนื่อย หอบ หายใจเร็ว โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ในรายที่เป็นรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ (นอนแล้วจะเหนื่อย ไอ) ต้องนอนศีรษะสูงหรือ นั่งหลับ

คำว่าเหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์หมายถึง อัตราการหายใจมากกว่าปกติ แต่ในความหมายของผู้ป่วยอาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย (โดยอัตราการหายใจปกติ) เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ

    ใจสั่น

ใจสั่นในความหมายแพทย์หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ อาการดังกล่าวอาจพบ ได้ในคนปกติ โรคหัวใจ และโรคอื่นๆที่มีผลต่อหัวใจ เช่น ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด แพทย์จะซักประวัติละเอียดถึงลักษณะของ อาการใจสั่น เพื่อให้แน่ใจว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยรู้สึก"ใจสั่น"โดยหัวใจเต้นปกติ

การตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าว ก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่ ดังนั้นท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการ ว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยได้รวดเร็วขึ้น

    ขาบวม

อาการขาบวมเกิดจากการที่ร่างกายมีเกลือ(โซเดียม)และน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย โดยอาจเกิดจากโรคไต (ขับเกลือไม่ได้) โรคหลอด เลือดดำอุดตัน (การไหลเวียนไม่สะดวก) ขาดอาหาร โปรตีนในเลือดต่ำ โรคตับ ยาและฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ หรือ ในบางราย ไม่พบสาเหตุ (idiopathic edema) การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถ ไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบ เพื่อหาสาเหตุ จึงให้การรักษาได้ถูกต้อง

    เป็นลม วูบ

คำว่า "วูบ" นี้เป็นปัญหาในการซักประวัติอย่างมาก เนื่องจากในภาษาไทยคำนี้มีความหมายต่างๆกัน แต่ในความหมายของแพทย์แล้ว จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติ ชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก (แม้จะไม่ชักให้เห็น) เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือ ความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว "วูบ" ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต

14
หลักการเลือกของตกแต่งบ้าน สำหรับการแต่งบ้านแบบคุมโทน

การเลือกของตกแต่งบ้านสำหรับการ แต่งบ้านแบบคุมโทน คือหัวใจสำคัญของการสร้างสรรค์พื้นที่ที่ดูสวยงาม เป็นระเบียบ และให้ความรู้สึกกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันค่ะ สไตล์นี้จะเน้นการใช้สีสันที่จำกัดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้บ้านดูโปร่ง โล่ง และสบายตา โดยไม่รู้สึกวุ่นวาย ลองมาดูหลักการสำคัญในการเลือกของตกแต่งบ้านให้สวยลงตัวกับการคุมโทนกันค่ะ

หลักการสำคัญของการเลือกของตกแต่งบ้านแบบคุมโทน

กำหนดโทนสีหลักและสีรอง:

สีหลัก: มักจะเป็นสีกลางๆ อย่าง ขาว เทา เบจ ครีม หรือ สีน้ำตาลอ่อนของไม้ธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นสีพื้นฐานของผนัง เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ และพื้น

สีรอง: คือสีที่จะมาเติมเต็มและสร้างมิติให้ห้อง เช่น สีพาสเทลอ่อนๆ (ฟ้า ชมพู เขียวมิ้นต์) หรือ สีเข้มขึ้นมาเล็กน้อย (เทาเข้ม น้ำเงินกรมท่า เขียวมะกอก) ที่จะปรากฏในของตกแต่งชิ้นเล็กๆ หรือเฟอร์นิเจอร์รอง

จำกัดจำนวนสี: ไม่ควรใช้สีมากเกิน 3-4 สีในสัดส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อรักษาความกลมกลืน


เน้นความเรียบง่ายของดีไซน์และเส้นสาย:

ของตกแต่งควรมี รูปทรงที่สะอาดตา ไม่ซับซ้อน ไม่มีลวดลายที่เยอะเกินไป เพื่อไม่ให้ไปรบกวนโทนสีหลักที่ต้องการเน้น

เส้นสายตรง หรือเส้นโค้งที่เรียบง่าย จะช่วยให้ห้องดูโมเดิร์นและมินิมอล ซึ่งเข้ากับการคุมโทนได้ดี


เลือกใช้วัสดุที่หลากหลายแต่กลมกลืน:

แม้จะคุมโทนสี แต่การใช้วัสดุที่ต่างกันจะช่วยเพิ่มมิติและเท็กซ์เจอร์ให้ห้องไม่น่าเบื่อ

วัสดุธรรมชาติ: เช่น ไม้ (สีอ่อนหรือเข้มตามโทน) ผ้าฝ้าย ลินิน ขนสัตว์ เซรามิก ดินเผา หินอ่อน หวาย

วัสดุสมัยใหม่: เช่น โลหะ (สีดำด้าน ทองเหลืองรมดำ สเตนเลส) แก้ว คอนกรีต

เทคนิค: หากโทนสีห้องเป็นสีอ่อน ลองเพิ่มความอบอุ่นด้วยของตกแต่งไม้ หรือถ้าห้องดูเรียบมาก อาจเพิ่มความหรูหราด้วยโลหะสีทองเหลืองเล็กน้อย


ให้ "สีเขียว" เป็นตัวช่วยเติมเต็ม:

ต้นไม้: คือของตกแต่งที่ดีที่สุดสำหรับการคุมโทน เพราะสีเขียวของต้นไม้เป็นสีธรรมชาติที่เข้าได้กับทุกโทนสี ช่วยเพิ่มความสดชื่นและชีวิตชีวาให้กับห้อง

การเลือก: เลือกต้นไม้ฟอร์มสวยที่ดูแลง่าย ใส่ใน กระถางเซรามิกสีพื้น (ขาว เทา ดำ) หรือ กระถางดินเผา/ปูนเปลือย ทรงเรียบง่าย


จัดวางอย่างมีพื้นที่ว่าง (Negative Space):

แม้จะมีของตกแต่งที่เข้ากับโทนสี แต่การวางของแน่นเกินไปจะทำให้ห้องดูอึดอัด

เว้นที่ว่าง: จัดวางของตกแต่งโดยเว้นพื้นที่ว่างรอบๆ เพื่อให้แต่ละชิ้นดูโดดเด่นและห้องดูโปร่ง โล่งสบายตา

กลุ่มของ (Clustering): หากจะจัดวางของเป็นกลุ่ม ควรเป็นของที่อยู่ในโทนสีเดียวกันและมีดีไซน์ที่เข้ากัน


แสงสว่างและการสร้างบรรยากาศ:

แสงธรรมชาติ: ปล่อยให้แสงธรรมชาติเข้ามาในห้องให้มากที่สุด เพื่อขับเน้นสีสันและรูปทรงของของตกแต่ง

โคมไฟ: เลือกโคมไฟที่ให้แสงสี Warm White เพื่อสร้างความอบอุ่นและช่วยเสริมให้โทนสีของห้องดูนุ่มนวลขึ้น ดีไซน์ของโคมไฟควรเรียบง่ายและเข้ากับสไตล์

เทียนหอม/ก้านหอม: นอกจากให้กลิ่นหอมผ่อนคลายแล้ว บรรจุภัณฑ์ของเครื่องหอมก็ควรอยู่ในโทนสีที่เข้ากัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่ง


ตัวอย่างของตกแต่งที่เหมาะกับการคุมโทน

แจกัน: เซรามิกสีขาว/เทา/เบจ ทรงเรขาคณิต หรือแก้วใส

หมอนอิง/ผ้าคลุม: ผ้าฝ้าย/ลินินสีพื้น หรือลายทาง/ลายตารางเล็กๆ ในโทนสีที่เลือก

กรอบรูป: กรอบไม้สีอ่อน/เข้ม หรือกรอบโลหะสีดำ/ขาว/ทองเหลือง (ถ้าเป็น Accent)

นาฬิกา: ดีไซน์เรียบง่าย หน้าปัดสะอาดตา ไม่มีลวดลายเยอะ

ถาด/กล่องเก็บของ: ไม้ เซรามิก หรือโลหะสีพื้น เพื่อจัดระเบียบของให้เข้าที่

การคุมโทนไม่ใช่แค่เรื่องของสี แต่คือการสร้างความกลมกลืนขององค์ประกอบทั้งหมดในบ้านค่ะ การเลือกของตกแต่งอย่างพิถีพิถันจะช่วยให้บ้านของคุณดูสวยงาม มีสไตล์ และน่าอยู่ยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ

15
ฉนวนกันความร้อน คืออะไร ประเภทและวิธีการเลือกใช้งานให้เหมาะสม

สภาพอากาศที่ร้อนมากเกินไป ก่อให้เกิดผลเสียตามมามากมาย หนึ่งในนั้นคืออุณหภูมิภายในบ้านหรืออาคารที่สูงขึ้น ฉนวนกันความร้อน จึงเป็นวัสดุสำคัญที่ป้องกันความร้อนผ่านเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไป ช่วยให้ภายในอาคารมีอุณหภูมิที่เหมาะสม ประหยัดพลังงาน และส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในบทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ “ฉนวนกันความร้อน” ประเภทต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนได้อย่างเหมาะสม

ฉนวนกันความร้อน คืออะไร

ฉนวนกันความร้อน (Sound Insulation) คือวัสดุป้องกันไม่ให้ความร้อนจากด้านหนึ่งส่งไปอีกด้านหนึ่งได้สะดวก รวมถึงช่วยสะท้อนรังสีความร้อนออกไปด้วย ส่วนมากจะนิยมติดตั้งฉนวนกันความร้อนไว้ใต้หลังคา บนฝ้าเพดาน หรือผนัง เพื่อกั้นความร้อนจากภายนอกให้เหลือน้อยที่สุดก่อนเข้าสู่ตัวอาคารโดยทั่วไปแล้วฉนวนกันความร้อนจะเป็นวัสดุมวลเบา ภายในประกอบด้วยฟองอากาศเล็กๆ จำนวนมาก ซึ่งฟองอากาศเหล่านี้จะมีคุณสมบัติพิเศษในการสกัดกั้นความร้อนให้อยู่แต่ในฟองอากาศ ไม่นำพาความร้อนจากแสงอาทิตย์กระจายออกไปยังส่วนอื่น ๆ ได้

ฉนวนกันความร้อนที่ดี ควรมีลักษณะอย่างไร?

ฉนวนที่ดีจะต้องต้านทานความร้อนที่ส่งผ่านจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งให้เหลือน้อยที่สุด โดยสามารถพิจารณาได้จากค่า R และ ค่า K

    ค่าR(R-Valueหรือ Resistivity)หมายถึง ค่าความต้านทานความร้อนของฉนวนมีหน่วยเป็น m2K/W หรือ hr.ft2. F/Btu ตัวเลขที่กำกับไว้บ่งบอกว่า ฉนวนชนิดนั้นต้านทานความร้อนที่เข้ามาได้มากน้อยแค่ไหน สรุปแล้วค่า R ยิ่งมากแสดงว่าเป็นฉนวนที่สามารถต้านทานความร้อนได้ดี
    ค่า K (K-value หรือ Conductivity)หมายถึง ค่าสัมประสิทธิ์ของการนำความร้อน มีหน่วยเป็น (W/m.k.)ตัวเลขที่กำกับไว้จะบ่งบอกว่า ฉนวนชนิดนั้นมีคุณสมบัตินำความร้อนมากน้อยแค่ไหน สรุปแล้วค่า K ยิ่งน้อย แสดงว่าเป็นฉนวนที่สามารถนำความร้อนได้น้อย

และตามธรรมชาติแล้ว อากาศร้อนจะเข้าไปแทนที่อากาศเย็นกว่าเสมอ แต่ถ้าวัสดุนั้นมีค่าการนำความร้อนต่ำ อากาศร้อนก็จะผ่านตัวฉนวนเข้ามาที่ตัวบ้านได้น้อยลง

ตารางเปรียบเทียบค่าสัมประสิทธิ์ของการนำความร้อนของวัสดุชนิดต่างๆ

วัสดุ                                   ค่า K (วัตต์/เมตร°C)

โฟมโพลียูรีแทน (PU Foam)   0.023
โพลีสไตลิน  (PS Foam)           0.031
ฉนวนใยแก้ว                           0.035
ไม้อัด                                   0.123
แผ่นยิปซัม                           0.191

จากตารางจะเห็นว่าโฟมพียู มีค่าการนำความร้อนน้อยกว่าวัสดุชนิดอื่น หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่าโฟมพียูมีความต้านทานความร้อนได้ดีกว่านั่นเอง
ประเภทของฉนวนกันความร้อน

สามารถแบ่งฉนวนกันความร้อนตามวิธีการติดตั้งและการใช้งาน เป็น 2 ประเภท คือ ฉนวนกันความร้อนแบบแผ่น และฉนวนกันความร้อนแบบพ่น
ฉนวนกันความร้อนแบบแผ่น

แผ่นฉนวนกันความร้อนเป็นวัสดุที่ติดตั้งค่อนข้างง่าย ด้วยความที่มีลักษณะเป็นแผ่น จะมีความอ่อนตัวสูง ดัดโค้งได้ น้ำหนักเบา และต้านทานความร้อนได้ดี จึงเหมาะสำหรับงานติดตั้งบนหลังคาและฝ้าเพดานเช่น ฉนวนใยแก้ว ฉนวนใยหิน ฉนวนโพลียูรีเทน (PU) ฉนวนโพลีเอทิลีน (PE) และฉนวนโพลีสไตรีน (PS)

1. ฉนวนใยแก้ว (Fiberglass)

ฉนวนใยแก้ว คือฉนวนที่ห่อหุ้มด้วยฟอยล์อะลูมิเนียม โดยใยแก้วจะทำหน้าที่ป้องกันความร้อน ส่วนฟอยล์อะลูมิเนียมจะทำหน้าที่สะท้อนความร้อน ฉนวนใยแก้วนั้นมีหลายรูปแบบ สามารถติดตั้งได้ง่าย ไม่ลามไฟ

    ค่าต้านทานความร้อน (Resistivity)ประมาณ 1.786 m2.K/W(10.139 hr.ft² ˚F/Btu)

2. ฉนวนแอร์บับเบิ้ล (Air Bubble เรียกอีกอย่างว่า Bubble Foil)

ฉนวนแอร์บับเบิ้ล มีลักษณะคล้ายแผ่นพลาสติกกันกระแทก ที่มีมวลอากาศอยู่ตรงกลาง และมีอะลูมิเนียมประกบกันทั้ง 2 ด้าน โดยตัวมวลอากาศจะทำหน้าที่ป้องกันความร้อน ส่วนฟอยล์อะลูมิเนียมจะทำหน้าที่สะท้อนความร้อน

    ค่าต้านทานความร้อน (Resistivity) ประมาณ 0.101 m2.K/W (0.573 hr.ft² ˚F/Btu)
    ข้อควรระวัง : ฉนวนกันความร้อนแบบแอร์บับเบิ้ลนั้นทำมาจากพลาสติก จึงมีโอกาสที่จะติดไฟได้ง่าย

3. ฉนวนอะลูมินั่มฟอยล์ (Aluminium Foil)

ฉนวนอะลูมินั่มฟอยล์ เป็นฉนวนกันความร้อน ที่มีลักษณะเป็นแผ่นอะลูมินั่ม 2 หน้าบางๆ ทำหน้าที่สะท้อนความร้อนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งประสิทธิภาพในการสะท้อนรังสีความร้อนสูงสุด 97%

    ค่าต้านทานความร้อน (Resistivity)ประมาณ 0.000001 m2.K/W หรือ 0.0000057 hr.ft² ˚F/Btu)
    ข้อแนะนำ: ควรใช้ฉนวนอะลูมินั่มฟอยล์ร่วมกันกับฉนวนประเภทอื่น เนื่องจากตัวอะลูมิเนียมฟอยล์ทำหน้าที่เพียงสะท้อนความร้อนอย่างเดียวแต่ไม่สามารถป้องกันความร้อนที่จะส่งผ่านเข้ามาภายในบ้านได้

4. ฉนวนประเภทโฟม (Polyethylene Foam-PE)

ฉนวนโฟม PE มีลักษณะเป็นแผ่นโฟมที่มีแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ 1 หรือ 2 ด้าน ประกบกันแต่ละชั้นให้ติดกัน ฉนวนโฟม PE ทำหน้าที่ป้องกันความร้อน ส่วนแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ทำหน้าที่สะท้อนความร้อน ฉนวนโฟม PE จึงสามารถป้องกันความร้อนพร้อมกับช่วยสะท้อนความร้อนในตัว

    ค่าต้านทานความร้อน (Resistivity)ประมาณ 0.208 m2.K/W (1.181 hr.ft² ˚F/Btu)
    ข้อควรระวัง: เนื่องจากฉนวนกันความร้อนแบบโฟม มีคุณสมบัติการป้องกันความร้อนด้อยกว่าฉนวนแบบอื่น ๆ อายุการใช้งานสั้น หากติดไฟเนื้อโฟมจะเสียสภาพทันทีและอาจทำให้น้ำรั่วซึมได้

5. ฉนวนร็อควูล (Rockwool)

ฉนวนร็อควูล หรือที่หลายคนเรียกฉนวนใยหินภูเขาไฟ เพราะเป็นฉนวนที่ผลิตมาจากใยหินภูเขาไฟมีความเสถียรและความทนทานสูง ได้รับการจัดอยู่ใน Euroclass A1 และ A2 ตามมาตรฐาน EN 13501-1 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าฉนวน Rockwool นั้นสามารถทนต่อไฟและทนต่อความร้อนได้สูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว

ค่าต้านทานความร้อน (Resistivity)ประมาณ 0.208 m2.K/W (12.17 hr.ft² ˚F/Btu)

ฉนวนกันความร้อนแบบพ่น

ฉนวนกันความร้อนแบบพ่นมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบบอื่น เพราะเป็นการนำฉนวนที่ละลายเป็นของเหลวพ่นทับบนพื้นผิวที่ต้องการป้องกันความร้อนอีกที ส่วนมากจะใช้กับบริเวณที่ยากต่อการปูฉนวนแบบแผ่น ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีเครื่องมือเฉพาะทาง ราคาในการติดตั้งจึงสูงตามไปด้วย

1. เซรามิคสะท้อนความร้อน (Ceramic Coating)

เป็นการพ่นเคลือบหลังคาด้วย Ceramic Coating ซึ่งมีคุณสมบัติในการสะท้อนความร้อนได้สูง ดูดซับความร้อนต่ำ กระจายความร้อนได้เร็ว มีความยืดหยุ่นสูง และยังยึดเกาะพื้นผิวได้ดี จึงสามารถใช้ Ceramic Coating เคลือบผิวภายนอก เช่น หลังคา ดาดฟ้า หรือผนัง

2. เยื่อกระดาษ (Cellulose)

ฉนวนกันความร้อนแบบเยื่อกระดาษ ผลิตจากกระดาษรีไซเคิลแล้วนำมาปรับปรุงด้วยส่วนผสมจากแร่ธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม โดยฉนวนกันความร้อนแบบพ่นเยื่อกระดาษนั้น สามารถพ่นติดได้ตามใต้หลังคา เพดาน ผนัง อีกทั้งยังพ่นได้กับทุกพื้นที่ผิว เช่น หลังคาเหล็ก หลังคากระเบื้อง ยิปซั่มบอร์ด คอนกรีต โดยไม่ต้องมีอะไรมารองรับ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก

จุดเด่นของฉนวนกันความร้อนแบบเยื้อกระดาษ คือน้ำหนักเบาและดูดซับเสียงได้ดี ส่วนข้อเสียคือควบคุมความหนาได้ยาก อีกทั้งยังไม่ทนต่อความชื้นด้วย
เยื่อกระดาษ(Cellulose)

3. ฉนวนกันความร้อน PU Foam (Polyurethane)

ฉนวนกันความร้อน โพลียูรีเทนโฟม ( Polyurethane Foam ) เป็นสารพลาสติกเหลวชนิดเทอร์โมเซ็ตติ้งใช้ฉีดลงบนแผ่นพื้นผิวเมทัลชีทหรือวัสดุอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนกระจายเข้าสู่ตัวอาคาร สามารถลดการแผ่รังสีความร้อนได้ถึง 95% มีจุดหลอมเหลวต่ำ ไม่ลามไฟ แต่เมื่อโดนความร้อนสูงเป็นเวลานานจะเปลี่ยนรูป ขณะเดียวกันก็มีคุณสมบัติสามารถป้องกันน้ำและความชื้นได้อีกด้วย

โดยวิธีการติดตั้ง PU Foam จะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ 1.) ฉีดพ่นลงบนวัตถุพื้นผิวที่ต้องการ เช่น ใต้หลังคา ผนังห้อง 2.) แผ่นพียูโผมสำเร็จรูป เรียกว่า หลังคาเมทัลชีท แซนวิช เป็นการฉีดฉนวนความร้อนลงบนวัสดุแล้วเรียบร้อย จึงติดตั้งง่าย สะดวก นิยมใช้กันมากนั่นเอง

จากที่ทุกท่านได้ทราบข้อมูลและประโยชน์ของฉนวนกันความร้อนไปแล้ว จะเห็นได้ว่าการติดตั้งฉนวนกันความร้อนนั้นเป็นที่นิยมและเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของบ้าน อาคาร โรงงาน ไม่ควรมองข้าม และต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก

หน้า: [1] 2 3 ... 17





















































ขายของให้ออร์เดอร์เข้ารัว ๆ
smf โพสต์เรียกลูกค้า
โพสต์เรียกลูกค้าโพสฟรี
smf ขายของออนไลน์ให้ปัง
smf โพสต์ขายของ
smf เขียนโพสขายของโดนๆ
แคปชั่นเปิดร้าน โพสฟรี
smf วิธีโพสขายของให้น่าสนใจ
วิธีเพิ่มยอดขาย โพสฟรี
smf เทคนิคเพิ่มยอดขาย
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
smf เริ่มต้นขายของออนไลน์
ไอ เดีย การขายของออนไลน์
เว็บขายของออนไลน์
เริ่ม ขายของออนไลน์ โพสฟรี
อยากขายของออนไลน์ smf
โพสขายของยังไงให้มีคนซื้อ
smf โพสขายของแบบไหนดี
smf ขายของออนไลน์ที่ไหนดี
เทคนิคการโพสต์ขายของ
smf โพสต์ขายของให้ยอดขายปัง
โพสต์ขายของให้ยอดขายปังโพสฟรี
smf ขายของในกลุ่มซื้อขายสินค้า
ไม่รู้จะขายอะไรดี
อยากขายของดี
ขายของออนไลน์ยังไงให้มีคนซื้อ
ขายสินค้าไม่สต๊อกสินค้า
เริ่มขายของออนไลน์
รับทำ seo ด่วน
smf โพสฟรี
smf ขายของออนไลน์อะไรดี
smf โพสฟรี
แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์ โพสฟรี
โพสฟรีแคปชั่นโพสขายของยังไงให้ปัง
smf แคปชั่นแม่ค้าออนไลน์

โปรโมทเพจร้านค้า
โปรโมทกระตุ้นยอดขาย
โปรโมทฟรีออนไลน์กระตุ้นยอดขาย
โพสกระตุ้นยอดขาย
วิธีกระตุ้นยอดขาย เซลล์
วิธีแก้ปัญหายอดขายตก
เริ่มต้นขายของ
แหล่งรับของมาขายออนไลน์
ขายของออนไลน์อะไรดี
อยากขายของออนไลน์
เพิ่มยอดขายให้เข้าเป้า
โปรโมทผลักดันยอดขาย
โปรโมทแผนการเพิ่มยอดขายให้ได้ผล
โปรโมทวิธีการวางแผนการเพิ่มยอดขาย
ยอดขายไม่ดีควรทำอย่างไร
ยอดขายตกเกิดจากอะไร
ทำไมต้องเพิ่มยอดขาย
ขายฟรี
ยอดการขาย คืออะไร
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
โพสฟรีการกระตุ้นยอดขาย
เว็บบอร์ดฟรี
โปรโมทฟรี
มีลูกค้าเพิ่ม - YouTube
ผลักดันยอดขายโปรโมทฟรี
ประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศเพิ่มยอดขาย
ฝากร้านฟรีเพิ่มยอดขาย
ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ เพิ่มยอดขาย
เว็บประกาศฟรีเพิ่มยอดขาย
Post ฟรี
ประกาศขายของฟรี
ประกาศฟรี
โพส SEO
ลงโฆษณาฟรี

วิธีหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การหาลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่า
ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า
เพิ่มฐานลูกค้าใหม่
รวมเว็บลงประกาศฟรี ล่าสุด
รวมเว็บประกาศฟรี
โพสต์ขายของฟรี
ลงโฆษณาสินค้าฟรี
โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี
เว็บฟรีไม่จำกัด
ลงประกาศขาย
เว็บฟรียอดนิยม
โพสโฆษณา
ประกาศขายของ
ประกาศหางาน
บริการ แนะนำเว็บ
ลงประกาศ
รวมเว็บประกาศฟรี
รวมเว็บซื้อขาย ใช้งานง่าย
ลงประกาศฟรี ทุกจังหวัด
กลยุทธ์การหาลูกค้าใหม่
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
วิธีการหาลูกค้าของ sale
ทำ SEO ติด Google
ต้องการขาย
ปล่อยเช่า บ้าน คอนโด ที่ดิน
ขายบ้าน คอนโด ที่ดิน
ประกาศฟรี ไม่มี หมดอายุ
เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ
ฝากร้านฟรี โพ ส ฟรี
ลงประกาศฟรี กรุงเทพ
ลงประกาศฟรี ทั่วไทย
ลงประกาศโฆษณาฟรี
ลงประกาศฟรี 2023
รวมเว็บลงประกาศฟรี

ทําไงให้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ ๆ
กลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
เคล็ดลับขายของดี
ค้าขายไม่ดีทำอย่างไรดี
งานโพสโปรโมทงาน
ทํายังไงให้ขายของดี ออนไลน์
รวม SMFขายสินค้า
ประกาศฟรีออนไลน์
ลงประกาศ สินค้า
ลงประกาศฟรี เว็บบอร์ด
เว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
ฟรี เว็บบอร์ด แรงๆ
โพสขายสินค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย
โฆษณาเลื่อนประกาศได้
ขายของออนไลน์
แนะนำ 6 วิธีขายของออนไลน์
อยากขายของออนไลน์
เริ่มต้นขายของออนไลน์
ขายของออนไลน์ เริ่มยังไง
ชี้ช่องขายของออนไลน์
การขายของออนไลน์
สร้างเว็บฟรีประกาศ
เว็บบอร์ด โพสต์ฟรี
ลงประกาศ ซื้อ-ขาย ฟรี
ชุมชนคนไอทีขายสินค้า
ลงประกาศฟรีใหม่ๆ 2023
โปรโมทธุรกิจฟรี
โปรโมทสินค้าฟรี
แจกฟรี รายชื่อเว็บลงประกาศฟรี
โปรโมท Social
โปรโมท youtube
แจกฟรี รายชื่อเว็บ
แจกฟรีโพสเว็บบอร์ดsmf
เว็บบอร์ดsmfโพสฟรี
รายชื่อเว็บบอร์ดขายสินค้าฟรี
หากลยุทธ์เพิ่มยอดขาย