ลงประกาศฟรีใหม่ ๆ , ฝากร้านฟรีโพสฟรี
หมวดหมู่ทั่วไป => โปรโมทสินค้าฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 3 กรกฎาคม 2025, 16:36:37 น.
-
โรคไตเรื้อรังป้องกันไว้ดีกว่ารักษา (https://doctorathome.com/disease-conditions/298)
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease - CKD) เป็นภาวะที่ไตค่อยๆ เสื่อมสมรรถภาพลงอย่างช้าๆ และมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น กว่าจะรู้ตัว หลายคนก็เข้าสู่ระยะท้ายๆ ของโรคแล้ว ทำให้การรักษาซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า "โรคไตเรื้อรังป้องกันไว้ดีกว่ารักษา" จึงเป็นความจริงอย่างยิ่งค่ะ
ทำไมการป้องกันถึงสำคัญกว่าการรักษา?
ไตที่เสียไปแล้ว ฟื้นฟูได้ยาก:
เนื้อไตที่เสียหายไปแล้ว มักจะไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้ การรักษาโรคไตเรื้อรังจึงเป็นการ ชะลอการเสื่อมของไต ไม่ให้ลุกลามเร็วขึ้น และประคับประคองอาการ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติที่สุด
หากไตวายถึงขั้นสุดท้าย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต เช่น ฟอกไต (Hemodialysis), ล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis), หรือ ปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน มีค่าใช้จ่ายสูง และส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต
มักไม่มีอาการในระยะแรก:
โรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้นถึงปานกลางมักไม่มีอาการที่ชัดเจน หรือมีอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจง เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าป่วย
เมื่อมีอาการแสดงชัดเจน เช่น บวม ซีด เหนื่อยง่าย คัน คลื่นไส้ มักเป็นเมื่อการทำงานของไตลดลงไปมากแล้ว (เหลือไม่ถึง 15-30%) ซึ่งเป็นระยะที่การรักษาทำได้จำกัด
ค่าใช้จ่ายสูงมาก:
การรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยเฉพาะการฟอกไตหรือการปลูกถ่ายไต มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่ายา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นภาระหนักทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และระบบสาธารณสุข
คุณภาพชีวิตที่ลดลง:
ผู้ป่วยไตเรื้อรังมักมีภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น โลหิตจาง กระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
การบำบัดทดแทนไต เช่น การฟอกไต ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อสัปดาห์ ทำให้ผู้ป่วยมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ
แนวทางการป้องกันโรคไตเรื้อรัง
การป้องกันโรคไตเรื้อรังทำได้โดยการจัดการกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนี้:
ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี:
เบาหวาน: ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอ โดยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย
ความดันโลหิตสูง: ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเป้าหมาย โดยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ลดเค็ม ออกกำลังกาย และลดความเครียด
รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพไต:
ลดเค็ม: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว อาหารดอง/เค็มจัด และลดการเติมเครื่องปรุงรส
รับประทานอาหารให้หลากหลาย: เน้นผัก ผลไม้ และโปรตีนไม่ติดมันในปริมาณที่พอเหมาะ
ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ: ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อช่วยให้ไตทำงานได้ดีขึ้น (ยกเว้นในรายที่มีข้อจำกัดจากโรคอื่น ควรปรึกษาแพทย์)
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ:
ออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลและความดันโลหิต
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายไต:
งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: สิ่งเหล่านี้ทำลายหลอดเลือดและเป็นพิษต่อไตโดยตรง
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็น: โดยเฉพาะยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์) เช่น ไอบูโพรเฟน, นาพรอกเซน และ ยาชุด ยาลูกกลอน ยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งมักมีการปนเปื้อนสารอันตรายต่อไต
ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา: ทุกครั้ง โดยเฉพาะหากคุณมีโรคประจำตัว หรือกำลังรับประทานยาอื่นๆ อยู่
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ:
ภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และทำให้ไตทำงานหนักขึ้น
ตรวจสุขภาพไตเป็นประจำ:
หากคุณมีปัจจัยเสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของไต (eGFR, Creatinine) และตรวจปัสสาวะเพื่อดูภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ (Microalbuminuria/Proteinuria) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเริ่มการรักษาได้ทันท่วงที
การใส่ใจดูแลสุขภาพและป้องกันโรคไตเรื้อรังตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดภาระที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมหาศาลค่ะ